"กฟผ." ยันซื้อไฟฟ้าจากเอกชนน้อย ลั่นเลือกต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำสุดก่อน

29 เม.ย. 2566 | 07:28 น.
อัปเดตล่าสุด :29 เม.ย. 2566 | 09:18 น.

"กฟผ." ยันซื้อไฟฟ้าจากเอกชนน้อย ลั่นเลือกต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำสุดก่อน ระบุ ต้องปฏิบัติตาม พรบ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ

นายประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ ในฐานะโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า การดูแลผลกระทบประชาชนเรื่องค่าไฟฟ้านั้น กฟผ. ใช้หลักการบริหารจัดการเดินเครื่องเพื่อผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนเชื้อเพลิงราคาต่ำที่สุดก่อน จนถึงเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนสูงขึ้นตามลำดับ 

โดยเงื่อนไขการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้า กฟผ. ต้องปฏิบัติตาม พรบ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ

สำหรับค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.–เม.ย. 66 กฟผ. ได้สั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าทั้งของ กฟผ. และเอกชน โดยพิจารณาจากต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำที่สุด ที่มีราคาซื้อไฟฟ้าตั้งแต่ 2 บาทต่อหน่วย ไปจนถึง 9.85 บาทต่อหน่วย 

ซึ่งปริมาณการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนในราคา 6.11-9.85 บาทต่อหน่วย มีปริมาณน้อยมาก คิดเป็น 7% เท่านั้น เมื่อนำมาเฉลี่ยกับโรงไฟฟ้าอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่าแล้ว จึงทำให้ค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 66 อยู่ที่ราคา 4.72 บาทต่อหน่วย

กฟผ. ยันซื้อไฟฟ้าจากเอกชนปริมาณน้อย
นายประเสริฐศักดิ์ กล่าวอีกว่า การซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนในราคา 6.11- 9.85 บาทต่อหน่วย เป็นการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันดีเซล ซึ่งมีราคาถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าด้วย Spot LNG ที่ราคา 7.91-11.36 บาทต่อหน่วย 

ดังนั้นคณะอนุกรรมการบริหารจัดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน จึงได้พิจารณาให้เดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมันดีเซล แทนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงนำเข้า Spot LNG โดยในช่วงที่มีสถานการณ์พลังงานปกติ อ้างอิงจากค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 64 ค่าซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยจาก 5 โรงไฟฟ้านี้ จะเท่ากับ 2.94 บาทต่อหน่วยเท่านั้น 
 

“กฟผ. บริหารจัดการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าอย่างมีหลักการ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากค่าไฟฟ้าน้อยที่สุด”