การสังคายนาและศึกภายในวงการลูกหนังไทย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในวงการรู้กันดีเมื่อมีการเปลี่ยนอำนาจการบริหาร
แต่หากมองย้อนประวัติศาสตร์การบริหาร “สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ” ครั้งนี้ดูจะรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ เมื่อ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฯ คนปัจจุบัน ประกาศชัดเจนว่าจะฟ้องไล่เบี้ยอดีตนายกฯ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาให้สมาคมฯ ต้องจ่ายค่าเสียหายกว่า 360 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยแล้วประมาณ 560 ล้าน ให้แก่บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน)
ย้อนกลับไปปี 2559 เมื่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เจ้าของวาทกรรม " “ใครไม่อาย แต่ผมอาย” เพิ่งเข้ารับตำแหน่งนายกสมาคมฯต่อจาก "บังยี - วรวีร์ มะกูดี" ที่ครองตำแหน่งมายาวนาน 2 สมัย 6 ปี
หนึ่งในนโยบายแรกๆที่บอร์ดสมาคมยุค "บิ๊กอ๊อด" ดำเนินการคือการยกเลิกสัญญาการบริหารสิทธิประโยชน์ที่สมาคมฯ มีกับสยามสปอร์ต ด้วยเหตุผลว่า "สัญญามีความผูกขาด บางส่วนไม่ชัดเจน และไม่เป็นธรรมต่อสมาคมฯ" ทั้งที่สัญญาดังกล่าวซึ่งทำขึ้นในสมัยของนายวรวีร์ มะกูดี มีอายุตั้งแต่ปี 2556-2565
การตัดสินใจของกรรมการบริหารสมาคมฯดังกล่าวนำไปสู่การฟ้องร้องระหว่างทั้งสองฝ่าย และหลังจากการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนานเกือบ 9 ปี
ศาลฎีกาก็มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีลิขสิทธิ์และสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ระหว่าง บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ชดใช้ค่าเสียหายแก่สยามสปอร์ต เป็นเงิน 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันฟ้อง (27 มิถุนายน 2560) จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ซึ่งรวมแล้วอาจสูงถึง 560 ล้านบาท
คดีนี้เริ่มจาก บริษัท ซีนิแพล็กซ์ จำกัด (บริษัทในเครือของผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก) เป็นฝ่ายยื่นฟ้อง บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการถ่ายทอดเสียงและภาพการแข่งขันฟุตบอลที่จัดโดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
ต่อมาทาง บมจ. สยามสปอร์ตฯ ได้ยื่นฟ้อง สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กับพวกรวม 20 คน ในประเด็นเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และการละเมิดสัญญา
5 วันหลังคำตัดสิน “มาดามแป้ง” จัดแถลงข่าวที่สำนักงานสมาคมฯ อย่างเป็นทางการ โดยมีวาระหลักคือการสรุปผลงาน 1 ปีในตำแหน่งนายกสมาคมฯ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงคือการเปิดเผยข้อมูลการเงินและข้อพิรุธจำนวนมากที่พบจากการตรวจสอบบัญชีของสมาคมฯ
การแถลงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอ มาดามแป้งเปิดเผยว่า เมื่อเข้ามารับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว สมาคมฯ เหลือเงินเพียง 27 ล้านบาทเศษ แต่มีหนี้สินกว่า 132 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังพบว่า สมาคมฯ ชุดเก่าได้กู้เงินจากฟีฟ่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 155 ล้านบาท) ซึ่งต้องผ่อนคืนโดยหักจากเงินสนับสนุนประจำปีที่สมาคมฯ ควรได้รับจากฟีฟ่าปีละ 1.25 ล้านเหรียญสหรัฐ ถึงปีละ 5 แสนเหรียญสหรัฐ เป็นเวลา 10 ปี (2566-2575)
"สมาคมฯ จะต้องผ่อนหนี้ไปจนถึงปี 2575 ซึ่งเกินวาระของดิฉันมากมายหลายปี ผู้บริหารคนต่อไปก็ยังต้องแบกรับภาระนี้อยู่" มาดามแป้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเครียด
มาดามแป้งไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เธอยังเปิดเผยข้อพิรุธสำคัญที่พบจากการตรวจสอบ คือ ในคดีที่สมาคมฯ ฟ้องสยามสปอร์ต (ซึ่งแพ้คดี โดยศาลอุทธรณ์ยกฟ้องและศาลฎีกาไม่รับตีความ) มีการจ่ายค่าทนายความสูงถึง 30 ล้านบาท ทั้งที่ตามข้อตกลงควรจ่ายเพียงศาลชั้นต้น 7.5 แสนบาท และเพิ่มในชั้นอุทธรณ์กับฎีกาชั้นละ 3 แสนบาท
"เงินจำนวนนี้อาจมีผลประโยชน์แอบแฝง คณะตรวจสอบพบข้อพิรุธสำคัญ ซึ่งต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปอย่างไร" มาดามแป้งระบุ
นอกจากนี้ มาดามแป้งยังเปิดประเด็นเงินเดือนของอดีตนายกสมาคมฯ ที่ได้รับจากสมาคมฯ และบริษัทไทยลีก รวมเดือนละ 1 ล้านบาท ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เหมาะสม โดยอดีตนายกฯ อ้างว่าได้คืนเงินทั้งหมด 32 ล้านบาทให้สมาคมฯ แล้ว แต่ยังไม่พบหลักฐานการคืนเงิน
มาดามแป้งประกาศชัดเจนว่าจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม “สภากรรมการเฉพาะกิจ” เพื่อขอความเห็นชอบในการฟ้องร้องไล่เบี้ยคืนจากอดีตนายกสมาคมฯ และกรรมการชุดเก่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 76
"เราจะปล่อยให้สมาคมฯ ที่ถือสิทธิทีมชาติทุกชุด ไทยลีกทุกชุด ล้มละลายหรือโดนยึดทรัพย์ไม่ได้ เราทนเห็นทุกอย่างล้มลงต่อหน้าไม่ได้เด็ดขาด" มาดามแป้งกล่าวด้วยน้ำตาคลอ
พร้อมกันนี้ นายกสมาคมฯ คนปัจจุบันยังเปิดเผยว่า จะเข้าพบนายระวิ โหลทอง ผู้ก่อตั้งสยามสปอร์ต เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ย โดยเชื่อว่าจะมีทางออกร่วมกันได้ เนื่องจากสยามสปอร์ตมีคุณูปการต่อวงการฟุตบอลไทยมายาวนาน
ฝั่งสยามสปอร์ตเปิดเผยบทสัมภาษณ์ของ “นายโอฬาร เชื้อบาง กรรมการผู้จัดการ” กล่าวหลังคำตัดสินว่า สยามสปอร์ตต้องขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรมกับองค์กรเรา เราชนะคดีฟ้องร้องสมาคมฟุตบอลทั้ง 3 ศาล คือศาลชั้นต้น, ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา นั่นหมายถึงว่าบริษัทสยามสปอร์ตได้ทำหน้าที่ตามสัญญาที่มีไว้กับสมาคม ไม่ได้ฉ้อฉล หรือเอาเปรียบจนเป็นมูลเหตุยกเลิกสัญญา
สังคมต้องรับรู้ว่าใครกันแน่เข้ามาทำความเสียหายให้กับวงการฟุตบอล โดยก่อนหน้านี้ เราโดนบางกลุ่มมองเราในแง่ลบกับการโดนยกเลิกสัญญา แต่คำพิพากษาทั้ง 3 ศาลยืนยันในความบริสุทธิ์ของเราเป็นอย่างดี
"แน่นอนว่าจริงๆ แล้วสยามสปอร์ตเสียหาย และสูญเสียโอกาสไปมากกว่านี้ แต่ก็ต้องขอบคุณที่ศาลให้ความยุติธรรมกับเราในการตัดสินคดีครั้งนี้ ทางสยามสปอร์ตขอยืนยันว่าสมาคมฟุตบอลต้องจ่ายให้กับเราตามคำพิพากษาของศาลฎีกา พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งเราก็ต้องไปจ่ายคืนให้กับทางกลุ่มทรูเช่นกัน"
นี่เป็นบทเรียนสำคัญ คนที่เข้ามาบริหารสมาคมฟุตบอล ต้องปฏิบัติต่อคู่สัญญาอย่างเคร่งครัด จะไปหาเหตุยกเลิกสัญญาดื้อๆ ด้วยการอ้างเหตุผลให้ร้ายคู่สัญญาไม่ได้ สยามสปอร์ตไม่ได้มีปัญหาอะไรกับ มาดามแป้ง นายกสมาคมฟุตบอลคนปัจจุบัน เพราะคุณนวลพรรณ ไม่ได้เป็นคนยกเลิกสัญญาจนทำให้เราเสียหาย มาดามแป้งมารับตำแหน่งแทนคนก่อน ย่อมรู้อยู่แล้วว่าเราฟ้องสมาคมฯ จนชนะไป 2 ศาลแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างรอผลฎีกา แต่ในฐานะสมาคมฟุตบอล ก็ต้องจ่ายตามคำสั่งศาลสูงสุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แหล่งข่าวระดับสูง วงการกีฬาไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากข้อมูลที่เปิดเผยทั้งหมดเห็นได้ชัดว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ กำลังเผชิญความท้าทายทางการเงินครั้งใหญ่ หากต้องจ่ายเงินชดเชยให้สยามสปอร์ตเต็มจำนวน นั่นหมายถึงเงินที่จะหายไปจากการพัฒนาฟุตบอลไทยมากกว่า 560 ล้านบาท และการเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดของมาดามแป้งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปการบริหารจัดการฟุตบอลไทยครั้งใหญ่ ด้วยการสร้างธรรมาภิบาลและความโปร่งใส
แหล่งข่าวระบุด้วยว่ามี 5 ปัจจัยที่ต้องจับตาในกรณีนี้ คือ
คดีนี้เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับวงการฟุตบอลไทย เตือนใจถึงความสำคัญของธรรมาภิบาลในการบริหารองค์กรกีฬา การตรวจสอบถ่วงดุล และการรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ
ไม่ว่าคดีนี้จะจบลงอย่างไร สิ่งที่แฟนบอลชาวไทยหวังคือการได้เห็นวงการฟุตบอลไทยก้าวข้ามวิกฤตนี้ และเติบโตบนพื้นฐานของความโปร่งใสและมืออาชีพอย่างแท้จริง