อสังหาฯชี้ เลือกตั้งผู้นำสหรัฐ 67 "ทรัมป์ –แฮร์ริส" ใครมาสะเทือนไทยทั้งคู่  

28 ต.ค. 2567 | 14:50 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ต.ค. 2567 | 15:31 น.

กูรู"พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ " นายกสมาคมอสังหา ฯ ชี้ชัด  เลือกตั้งผู้นำสหรัฐ “ ทรัมป์ –แฮร์ริส” ไม่ว่าใครมาสะเทือนไทยทั้งคู่  มุมกลับหากทรัมป์มา จีนอาจย้ายฐานการลงทุนมาไทยและประเทศในแถบอาเซียนเพื่อลดแรงกดดันจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

 

นับถอยหลังศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ อีกไม่กี่วัน(5 พฤจิกายน67 ) จะทราบแน่ชัด ว่าใครจะเป็นผู้กุมชะตาเศรษฐกิจโลกระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จาก รีพับลิกัน และ นาง กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต ภายใต้การสนับสนุนของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน

พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์

ทว่าจนถึงขณะนี้ คะแนนของทั้งคู่ยังคู่คี่สูสี และดูไม่ออกว่าในที่สุดแล้วใครจะเป็นฝ่ายกำชัย แต่ทั้งนี้ในมุมมองภาคเอกชนของไทย อย่าง นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์  นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า  

ไม่ว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ประเทศในแถบเอเชีย รวมถึงไทย ไม่ได้รับผลดีทั้งคู่  ในทางตรงกันข้าม อาจนำมาซึ่งความสั่นสะเทือนไปทั้งโลกไม่ว่า การกีดกันการค้า กำแพงภาษี รวมถึง –สงครามที่พร้อมขยายวงได้ทุกเมื่อ

ทั้งนี้หากเป็น นาง กมลา แฮร์ริส สงครามการสู่รบในตะวันออกกลางจะคงรุนแรง เนื่องจากเป็นนโยบายเดียวกันกับ ประธานาธิบดีคนก่อน และไม่ทราบแน่ชัดว่า จะรุนแรงยาวนานขนาดไหน แต่ที่เห็นเด่นชัดในปัจุจุบัน คือโจไบเดน ให้การสนับสนุน อิสราเอล  และกระทบ ถึงต้นทุนน้ำมัน การขนส่ง ค่าระวางเรือซึ่งอาจมีผลทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างขยับสูงขึ้น

 

ขณะเดียวกัน ไทยเอง และประเทศเอเชียมีความหวาดผวา หากนายโดนัลด์ ทรัมป์  กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย แน่นอนว่า จะเกิดการกีดกันการค้า จากนโยบาย สั่งขึ้นภาษีสินค้าไทยอีก 10-20% ตามคำขู่ ซึ่งหวั่นกระทบขีดแข่งขัน หลังจากที่ผ่านมาไทยส่งออกทดแทนสินค้าจีนได้มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

เนื่องจาก สหรัฐอเมริกา เป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย รองจากจีน(ส่งออก+นำเข้า) แต่หากนับเฉพาะการส่งออก สหรัฐถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยปี 2566 การส่งออกของไทยไปสหรัฐ มีสัดส่วน 16.96% ของการส่งออกไทยไปทั่วโลก

 อย่างไรก็ตามในมุมกลับกันกรณีที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์  มา จะส่งผลด้านบวก ต่อไทย  ที่ผลักดันจีนให้ย้ายฐานการลงทุนมายังไทยและประเทศในแถบอาเซียนมากขึ้น เพื่อลดแรงกดดันสงครามการค้าสหรัฐ-จีน