"แสนสิริ" เปิดกลยุทธ์ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ฝ่าวิกฤตโควิด

11 ก.พ. 2565 | 19:13 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.พ. 2565 | 04:28 น.
2.9 k

"เศรษฐา" CEO แสนสิริ เผยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สะดุด เศรษฐกิจถดถอยเซ่นพิษโควิด เร่งปรับตัว ดึงกลยุทธ์การตลาด-ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลกระตุ้นรายได้

นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงาน Digital Transformation for CEO#3 ในหัวข้อThe Leadership Challenge:บริหารองค์กรให้ยั่งยืนและพร้อมรับมือภาวะวิกฤตระยะยาว จัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบอย่างหนักมากว่า2ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นให้มีการปรับตัวมากขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจถดถอยและหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ช่วงนั้นบริษัทมีสต๊อคโครงการค่อนข้างเยอะการลงทุนสินทรัพย์ เป็นเรื่องปกติที่จะมีกำไรและขาดทุน แต่ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยและการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น การมีกระแสเงินสดถือเป็นสิ่งสำคัญของความอยู่รอด

 

 

 ในปี 2020 ถือเป็นช่วงวิกฤต เพราะบางโครงการมีการขาดทุน พบว่ามียอดขาย 40,000 ล้านบาทและมีกำไรกว่า 1,000 ล้านบาท คิดเป็น 3-4% แต่ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่สูงและสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว โดยการบริหารจัดการบุคลากร การลงทุน ทั้งนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือภาวะการเก็บรักษา (Regention Rate) โดยเฉพาะสถาบันการเงินมีส่วนช่วยบริษัทได้มาก เนื่องจากพบว่ามีผู้ซื้อที่กำลังซื้อที่อยู่อาศัยกับบริษัทกลับโดนสถาบันการเงินปฏิเสธเป็นจำนวนมาก และต้องการให้ทางบริษัทช่วยเจรจากับสถาบันการเงินในเรื่องนี้ แต่บริษัทเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการ เพราะมีหนี้ที่สูง ซึ่งเป็นปัจจัยที่สามารถบอกได้หลายๆอย่าง ถึงแม้ว่าความต้องการซื้อมีค่อนข้างมาก แต่กำลังซื้อไม่มี รวมทั้งความรู้ทางด้านการเงินและการผ่อนชำระน้อยมากที่จะบริหารจัดการรายจ่ายประจำเดือน ทำให้บริษัทต้องเข้าไปช่วยเหลือในการบริหารจัดการด้านเครดิตบูโรค่อนข้างเยอะมาก เมื่อผู้ซื้อเติบโตพอและมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินเขาก็จะกลับมาซื้ออีกครั้ง

 

 

 ขณะเดียวกันกระแสเงินสดถือเป็นสิ่งสำคัญ เห็นได้จากในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ไม่สิ้นสุด ทำให้หลายบริษัทต้องปรับตัวในการบริหารซับพลายเชน โดยเฉพาะในช่วง12-18 เดือน ที่ผ่านมาพบว่ามีมูลค่าหนี้สูง ถึงแม้ว่าจะมีการลดราคาขายที่อยู่อาศัยแต่บริษัทต้องเติมกระแสเงินสดเพื่อให้ออกโฉนดกับลูกค้าได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือบุคลากรที่ต้องบริหารจัดการ โดยให้โจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรแข็งแกร่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นการขยายตลาดให้เหมาะสมกับกำลังซื้อ เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจของ1ในปัจจัย4 หากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ดี บริษัทก็ดีไปด้วย หากGDP ไม่ดี บริษัทก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะบริษัทขนาดใหญ่ถือเป็นสิ่งสะท้อนของเศรษฐกิจไทยโดยแท้จริง

ทั้งนี้สิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้องค์กรได้คือ Speed to Market ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพในการขายและการบริการหลังการขาย เป็นพื้นฐานด้านการลงทุนสินทรัพย์ ทำให้บริษัทติดใน Top 3 ที่ลูกค้ายอมรับ โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่า 10 ล้านขึ้นไป พบว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีกระแสเงินสดที่มีกำลังซื้อค่อนข้างเยอะ เนื่องจากลูกค้ามีการเก็บเงินไว้บางส่วน เมื่อถึงเจอโครงการที่มีคุณภาพและมีผู้พัฒนาที่ให้ความไว้วางใจได้ ทำให้มีกำลังซื้อ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำให้บริษัทฯสามารถขายที่อยู่อาศัยได้เป็นจำนวนมาก 2.กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าต่ำกว่า 3-4 ล้านบาท พบว่าลูกค้ากลุ่มนี้มักจะมีการขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน หลังจาก3-4 เดือนบริษัทจะต้องมั่นใจและยืนยันว่าลูกค้าต้องการที่จะซื้อที่อยู่อาศัยจริง อีกทั้งยังพบว่าภายหลังการจองที่อยู่อาศัยหลังจาก4-5 เดือน สถานะทางการเงินจะเปลี่ยนแปลงไป

 

 

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า บริษัททำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์มา 30 ปีบริษัทไม่ต้องการแข่งขันกับคู่ค้าที่ดำเนินการทำธุรกิจด้านสิ่งก่อสร้างเรามองว่าถ้าเราทำอะไรได้ดีเราก็ควรทำสิ่งนั้น ส่วนการลงทุนด้านสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าถึงจุดที่จะเป็นสิ่งสะท้อนกลับไม่ได้แต่ต้องเดินหน้าต่อโดยเฉพาะในหลายประเทศเริ่มมีการใช้คริปโตเคอเรนซี่ในการลงทุนที่สูง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีการเทรดราว 70,000-80,000ล้านบาทต่อวัน ซึ่งเป็นเรื่องของการเก็งกำไร

ด้านการลงทุนคริปโตฯ มันเป็นเรื่องความเสี่ยงต้องอาศัยความเข้าใจถึงที่มาว่าเป็นอย่างไรหากเรามีสินทรัพย์อยู่ 100% ก็ควรลงทุนในกลุ่มบอนด์,พันธบัตรรัฐบาล,อสังหาริมทรัพย์,ตลาดหลักทรัพย์ ฯลฯ ราว 95%และลงทุนในกลุ่มคริปโต ราว 5% เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงถือเป็นเรื่องที่ดีมาก บริษัทเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่มีการเก็งกำไร ซึ่งเรามีวิธีการให้ผู้ซื้อสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ โดยใช้คริปโตเคอเรนซี่พบว่ายอดขายที่อยู่อาศัยโดยการใช้คริปโตเคอเรนซี่อยู่ที่ 30,000 ล้านบาทต่อปี

 

 

 นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้าบริษัทจะเป็นอย่างไรนั้น เรามองว่าปัญหาสำคัญคือการทำแผนให้ประสบความสำเร็จ เพราะบริษัทยังทำได้ไม่ดีเท่าบริษัทใหญ่ๆอย่าง บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย,บมจ.ปตท. ฯลฯ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้องค์กรยั่งยืนต่อไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าในอนาคตหลายบริษัทจะดำเนินการอย่างไร

 

\"แสนสิริ\" เปิดกลยุทธ์ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล  ฝ่าวิกฤตโควิด

 "หลายคนเคยบอกว่าหลังจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส covid-19 จะทำให้พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนแปลงไปแต่เรามองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วคราว เนื่องจากผู้คนเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องการพบเจอและกลับไปทำงานร่วมกัน ขณะที่ที่อยู่อาศัยก็ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งผู้ซื้อไม่ได้มีการต้องการอะไรที่แตกต่างจากเดิม แต่สถานการณ์โควิด-19 ทำให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยลดลง ทำให้เราจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีบางอย่างเข้ามา"