จับตาศึกช้างชนช้าง เลือกตั้ง นายก อบจ.สุพรรณบุรี

27 ม.ค. 2568 | 15:21 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ม.ค. 2568 | 15:30 น.
1.9 k

เลือกตั้ง นายก อบจ. สุพรรณบุรี 1 ก.พ.เป็นที่จับตามองการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจท้องถิ่นสุพรรณบุรีขึ้นมาอีกครั้ง หลัง “บุญชู จันทร์สุวรรณ” ที่นั่งมานานกว่า 20 ปี มีสัมพันธ์ลึกซึ้งบ้านใหญ่ ลงสมัครในนามอิสระ ขณะที่ อุดม โปร่งฟ้า ลงสมัครในฐานะตัวแทนพรรคชาติไทยพัฒนา

สนามเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุพรรณบุรี  มีผู้สมัครชิงขัยทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย

จับตาศึกช้างชนช้าง เลือกตั้ง นายก อบจ.สุพรรณบุรี

นายภิญโญ สุนทรวิภาต หมายเลข 1 

จับตาศึกช้างชนช้าง เลือกตั้ง นายก อบจ.สุพรรณบุรี

นายบุญชู จันทร์สุวรรณ หมายเลข 2 

จับตาศึกช้างชนช้าง เลือกตั้ง นายก อบจ.สุพรรณบุรี

นายอุดม โปร่งฟ้า หมายเลข 3 

จับตาศึกช้างชนช้าง เลือกตั้ง นายก อบจ.สุพรรณบุรี

นายประชอบ หลีนุกุล หมายเลข 4

อย่างไรก็ตามเลือกตั้งนายก อบจ.สุพรรณบุรี ครั้งนี้กลายเป็นสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของจังหวัด ที่ผ่านมา พื้นที่นี้เป็นฐานอันแข็งแกร่งของพรรคชาติไทยพัฒนา ครองตำแหน่งทั้งสนามเล็กและสนามใหญ่มาหลายสมัยโดยไร้คู่แข่งที่สามารถสั่นคลอนได้ แต่ครั้งนี้กลับแตกต่าง เมื่อสองผู้สมัครคนสำคัญเปิดศึกชิงชัยเพื่อรักษาและพลิกฐานอำนาจของตน

นายบุญชู จันทร์สุวรรณ แชมป์เก่านายก อบจ. เมืองขุนแผน ที่นั่งตำแหน่งนี้มานานกว่า 20 ปี และเป็นผู้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำ "บ้านใหญ่" แห่งสุพรรณบุรี ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ในนามอิสระ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนฝูงในพรรคเพื่อไทย หวังดึงคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้สนับสนุนเสื้อแดงเพื่อรักษาเก้าอี้นายก อบจ.ไว้อีกสมัย

ขณะที่คู่แข่งคนสำคัญ นายอุดม โปร่งฟ้า กรรมการบริหารพรรคชาติไทยพัฒนา ลงสมัครเลือกตั้ง นายก อบจ.สุพรรณบุรี ในฐานะตัวแทนพรรคชาติไทยพัฒนา แม้ทางพรรคชาติไทยพัฒนาจะออกมาประกาศว่าไม่ได้ส่งผู้สมัครอย่างเป็นทางการ โดยให้เหตุผลว่าการเมืองระดับชาติจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ก็ยอมรับว่าการเลือกตั้ง นายก อบจ.สุพรรณบุรี ครั้งนี้เป็นเรื่องหนักใจ เนื่องจากเป็นการเผชิญหน้าระหว่างบุคคลที่มีความใกล้ชิดกัน พรรคจึงเลือกวางตัวเป็นกลาง

การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันทางการเมือง แต่ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอำนาจของท้องถิ่นสุพรรณบุรี ซึ่งยังคงต้องติดตามต่อไปว่าผลลัพธ์จะพลิกโฉมการเมืองในพื้นที่นี้อย่างไร