“บิ๊กโจ๊ก”ยื่นป.ป.ช.เอาผิด“นายกฯ” คดี ม.157 ปมเสนอชื่อ“บิ๊กต่อ”นั่ง ผบ.ตร.

03 ก.ค. 2567 | 13:21 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.ค. 2567 | 13:38 น.

“บิ๊กโจ๊ก”ยื่นป.ป.ช.เอาผิด “นายกฯเศรษฐา” คดี ม.157 ปมเสนอชื่อ “บิ๊กต่อ” เป็น ผบ.ตร. ยันไม่ได้เป็นการท้ารบ ไม่มีกลับลำถอนฟ้อง ไม่กลัวถูกยิง

วันนี้ (3 ก.ค. 67) บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำเอกสาร 4แฟ้ม เข้ายื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า ได้มายื่นกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ซึ่งก่อนหน้านี้วันที่ 22 เม.ย. ตนเองได้มายื่นฟ้องไปแล้ว และถอนฟ้องในวันที่ 23 เม.ย. เนื่องจากขณะนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ได้มายื่นกล่าวหา จึงไม่อยากให้เกิดความซ้ำซ้อน  

แต่ล่าสุดตนได้เจอกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และทราบว่าท่านได้ถอนฟ้องไปแล้วซึ่งไม่ทราบเหตุผล ดังนั้น ตนในฐานะพยานผู้เสียหายโดยตรง จึงมายื่นฟ้องอีกครั้ง เพื่อจะได้เป็นผู้ติดตามผล และได้นำผลการพิจารณาของ ป.ป.ช.มาชี้แจงกับประชาชน   

"เพราะกรณีการแต่งตั้ง ผบ.ตร.โดยมิชอบนั้น มองว่า ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เนื่องจากหลักเกณฑ์ต้องคำนึงถึง 2 ส่วน คือ ความอาวุโส และความรู้ความสามารถในการป้องกันและปราบปราม แต่ขณะนั้นนายกรัฐมนตรี ให้เหตุผลการแต่งตั้งว่า เพื่อสามารถตอบสนองนโยบายรัฐบาลของรัฐบาลได้ และเป็นที่ไว้วางใจ 

ดังนั้น หากแต่งตั้งแบบนี้ ก็ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ขัดกับ พ.ร.บ.ตำรวจ และในขณะนี้หากปฏิบัติตามเกณฑ์ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ เป็นผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง ผมเป็นอาวุโสลำดับที่ 2 แต่มีการเสนอชื่ออันดับสุดท้ายมาเลย โดยไม่ไล่เรียงอันดับ 1 2 3 ก่อน จึงถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตาม พรบ.ตำรวจ”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจในการเสนอชื่อบุคคลใดเป็นแคนดิเดต แต่จะต้องชี้แจงเหตุผล ถ้าไม่เอาเบอร์1-2-3 เป็นเพราะอะไร ไม่ใช่อยู่ๆ ไปเอาเบอร์สุดท้ายมาเลย ยืนยันว่า ตามพ.ร.บ.ตำรวจไม่มีการให้คะแนน เพราะหากจะให้คะแนน ประชาชนจะต้องเป็นคนให้ 

                       “บิ๊กโจ๊ก”ยื่นป.ป.ช.เอาผิด“นายกฯ” คดี ม.157 ปมเสนอชื่อ“บิ๊กต่อ”นั่ง ผบ.ตร.

ดังนั้น ถ้าจะไม่ยึดเกณฑ์ลำดับอาวุโส ก็ต้องแก้กฎหมายใหม่ไปเลย ส่วนคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ในขณะนั้นที่เห็นชอบแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก็ต้องรับผิดชอบด้วย แต่มี 2 ท่านที่ไม่ได้ยกมือเห็นชอบ

เมื่อถามว่าจะกลับลำถอนฟ้องอีกหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ความผิดนี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ใครจะยื่นฟ้องก็ได้ แต่คนอื่นไม่ใช่ผู้เสียหาย ตนเป็นผู้เสียหายชัดเจน ดังนั้น อาญาแผ่นดินถอนฟ้องไม่ได้ 

“เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการท้ารบ แต่ทำไปตามกฎหมายไม่เช่นนั้นองค์กรจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่ยึดหลักกฎหมายแต่ไปสนองนโยบาย และการฟ้องครั้งนี้ไม่ได้จัดหนัก แต่การจะทำอะไรต้องคิดอย่างรอบคอบ”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การกล่าวหาไม่ได้โกรธส่วนตัวกับนายกรัฐมนตรี แต่เห็นว่า เป็นการกระทำผิดในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 

ส่วนตนเองอาจจะได้กลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรืออาจจะถูกออกไปเลยก็ได้นั้นก็ไม่เป็นไร แต่เป็นการทำเพื่อรักษาระเบียบข้อกฎหมายขององค์กร เพื่อให้องค์กรยังอยู่ได้ เพื่อคนรุ่นหลัง และไม่ได้เป็นการทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้เป็นการไล่เช็คบิลใคร

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า การยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีต่อป.ป.ช.ครั้งนี้ ไม่ถือว่านับหนึ่งใหม่ในกระบวนการของ ป.ป.ช. เพราะเท่าที่ทราบ มีพยานบางรายมาให้ข้อมูลกับ ป.ป.ช.ไปแล้ว ทั้ง ก.ตร.บางท่าน และส่วนของกฤษฎีกา แต่กระบวนการเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว ตนไม่ทราบ  

อย่างไรก็ตาม จะมีการฟ้องนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีก กรณีเซ็นต์ให้ตนเองกลับไปยังสำนักงานตำแหน่งแห่งชาติ และเรื่องเซ็นต์รับรองผลการประชุม ก.ตร. ขอตรวจสอบจากรายละเอียดให้รอบคอบก่อน เพราะมีเอกสารหลายอย่าง ซึ่งยืนยันว่ามีการฟ้องแน่นอน

ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ห่วงว่า ไปไล่ฟ้องอาจโดนไล่ยิงเหมือนสมัยก่อน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว่า ไม่ได้กังวลอะไร แค่ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ตอนนี้ก็ฟ้องร้องดำเนินคดีไปแล้วหลายคน ก็ไม่เห็นถูกยิงสักที มีเพียงโดนยิงรถในคดีเดิมเมื่อปี 2563 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า อีกเรื่องที่ยื่น ป.ป.ช. คือ คดีฟอกเงิน สน.เตาปูน ที่เรื่องอยู่ในชั้น ป.ป.ช. โดยตนเองมายื่นเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งรายละเอียดต่างๆ ในคดี โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงิน และคำชี้แจงข้อกล่าวหาฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นการยื่นตามขั้นตอนของกระบวนการ ป.ป.ช.

และขณะนี้สถานะของตนเองเมื่ออยู่ในชั้น ป.ป.ช. ก็จะเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นผู้ต้องหา กลายเป็นผู้ถูกตรวจสอบ เพื่อรอการไต่สวนและชี้มูล ดังนั้นตราบใดที่ ป.ป.ช.ยังไม่ชี้มูลก็ถือว่า ยังบริสุทธิ์ 
 

ส่วนกรณีคดีมินนี่ ที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาลูกน้องตนเอง8 คน ได้ส่งอัยการ และอัยการส่งสำนวนกลับ ก็เพราะอัยการมองว่า ผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเป็นของ ป.ป.ช. คาดว่าเร็วๆ นี้พนักงานสอบสวนจะนำสำนวนดังกล่าวมาส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ  

จึงเห็นได้ชัดว่า การสอบสวนตั้งแต่ต้น ที่ส่วนตัวมองว่า เป็นการสอบสวนโดยมิชอบ เมื่อมิชอบก็จะถือว่าเป็นการสอบสวนที่ผิด ซึ่งคงคาดการณ์ได้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร