ทุกพรรคประสานเสียง “ยุบพรรค” อุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนา-ไม่ใช่ทางออก

27 มี.ค. 2567 | 15:11 น.
อัปเดตล่าสุด :27 มี.ค. 2567 | 15:22 น.

กกต.เสวนา “พรรคการเมืองสร้างชาติ” ทุกพรรคประสานเสียง แก้รัฐธรรมนูญ ชี้กฎหมายยุบพรรคอุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนา-ไม่ใช่ทางออก

วันนี้ (27 มี.ค. 67) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดเสวนาวิชาการเรื่อง “พรรคการเมืองสร้างชาติ” โดย นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภราดร ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ ศ.วุฒิสาร ตันไชย นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วม                         

ประเด็นคำถามในงานเสวนา คือพรรคการเมืองเอื้อประโยชน์ให้การเมืองไทยได้อย่างไร นายชูศักดิ์  กล่าวว่า ส่วนตนมองว่าทุกพรรคการเมืองก่อตั้งขึ้นมีเจตนาต้องการเข้ามาบริหารบ้านเมือง คงไม่มีพรรคการเมืองใด ที่ตั้งขึ้นแล้วอยากเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งการดำเนินกิจกรรม และการขับเคลื่อนพรรคการเมืองจะต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.พรรคการเมืองกำหนด 

โดยมีการไปออกกฎหมายสร้างข้อจำกัดมากมาย ให้กับนักการเมือง เช่น ห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาครอบงำพรรคการเมือง ใส่เหตุแห่งการยุบพรรคไว้ในมาตราต่างๆ ซึ่งอุปสรรคที่สำคัญของพรรคการเมืองคือ                     

1.ขาดความต่อเนื่อง เพราะพรรคบริหารบ้านเมืองไปสักพัก ก็จะมีการยึดอำนาจ หรือไม่ก็ถูกยุบพรรค ตนไม่เห็นด้วยมากๆ กับการยุบพรรคโดยง่ายและเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องมีการแก้ไข 

2.ต้องมีการสร้างนักการเมืองมืออาชีพมาบริหาร ปัจจุบันแม้จะมีนักการเมืองมากแต่ส่วนใหญ่จะมีอาชีพหลักเป็นนักธุรกิจ

3.บริบทของกฎหมายที่มาควบคุมพรรคการเมือง คิดว่าถึงเวลาที่จะต้องมีรัฐธรรมนูญ และมีกฎหมายพรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย และมีความมั่นคงมากกว่าที่เป็นอยู่

                        ทุกพรรคประสานเสียง “ยุบพรรค” อุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนา-ไม่ใช่ทางออก

ด้าน นายวุฒิสาร  กล่าวว่า ก่อนพรรคการเมืองจะสร้างชาติ ควรจะมองว่าจะสร้างนักการเมืองที่ดีได้อย่างไร ซึ่งปัจจัยที่ทำให้พรรคการเมืองมั่นคง เดินต่อได้ คือ แก่นกลาง ที่เป็นชุดความคิดอุดมการณ์ จุดมุ่งหมาย ที่สมาชิกพรรคจะมีความคิดเห็นตรงกัน เชื่อเรื่องเดียวกัน 

นอกจากนี้ ระบบกฎหมายควรเอื้อให้พรรคการเมืองเติบโตโดยประชาชน เติบโตแบบธรรมชาติ แต่ที่ผ่านมายิ่งออกกฎหมายยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ มีกติกาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอยากให้มี mindset สำหรับกฎหมายนี้ และจะต้องให้เวลาเพื่อให้เกิดการพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่าออกกฎหมายเพื่อการยุบพรรคอย่างเดียว เพราะพรรคการเมืองถือว่าเป็นสมบัติของสมาชิกพรรค เราต้องออกกติกาให้ดีและมี mind set ใหม่ 

นายชัยธวัช แสดงความเห็นว่า น่าเสียดายที่สังคมไทย สวนทางกับโลก และบอกว่าพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง ต้องถูกยุบพรรค ซึ่งในแง่นี้หมายความว่า พรรคการเมืองพรรคนี้ ไม่น่าจะมีบทบาทให้การเมืองดีและสร้างชาติ แต่ในทางตรงกันข้าม ถูกมองว่าเป็นพรรคการเมืองทำลายชาติ เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ดี ซึ่งมีนัยยะที่เป็นประเด็นสำคัญอยู่ 

ทั้งนี้ มองว่าพรรคการเมืองมีความสำคัญมากๆ ในการสร้างชาติ ในฐานะผู้มีบทบาททางตรงในการกำหนดนโยบายสาธารณะ รวมถึงการออกกฏหมาย ตัวพรรคก้าวไกลเอง พยายามพัฒนาบุคลากร และตัวแทนของพรรคให้มีบทบาทสำคัญมากขึ้น

เพราะไม่ว่าจะพูดถึงการกำหนดนโยบายสาธารณะ เราระดมสมองจากนักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญ แต่ในเมืองไทยเราไม่เคยเห็นพัฒนาการทางการเมือง ไม่เคยเห็นการถกเถียงทางการเมืองกันอย่างจริงจัง ซึ่งตนคิดว่าควรจะมีได้แล้ว

นายชัยธวัช ชี้ว่า การเมืองดีไม่มีอะไรมาก ต้องวางอยู่บนหลักการพื้นฐานง่ายๆ คือ 

1.อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน 

2.สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานต้องได้รับการคุ้มครอง 

3.กฎกติกาฟรีและแฟร์หรือไม่ 

“หากเราออกแบบการเมืองที่คิดว่า การเมืองดีคือแบบนี้ เราก็จะออกกฎกติกาที่เชื่อว่า จะเอื้อต่อการพัฒนาทางการเมือง เพราะเชื่อว่าประชาชนเรียนรู้ได้ แต่หากการเมืองดี คือ การที่ยุบพรรคการเมืองกันอย่างเป็นปกติ พรรคการเมืองถูกสั่งว่า หาเสียงแบบนี้ไม่ได้และอันตรายไป จนถึงการยุบพรรคนั้น 

และกฎพรรคการเมืองนั้นยุบยิบไปหมด การใช้งบประมาณ ไม่เอื้อต่อการสร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็งเลย ขอเงินยาก หากเราออกแบบกฎกติกาพรรคการเมืองด้วยพื้นฐานที่เรียกว่า เป็นการเมืองที่ไม่ไว้ใจประชาชนและต้องพยายามควบคุมอำนาจ และสถาบันทางการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชนให้อยู่ภายใต้อำนาจที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน แต่เป็น “คุณพ่อรู้ดีไปหมด” ว่าการเมืองที่ดีควรเป็นอย่างไร อันนี้ถือเป็นใจกลางสำคัญมากๆ ที่การเมืองไทยยังไม่จบว่าจะมีคำตอบจากเรื่องนี้อย่างไร”

               ทุกพรรคประสานเสียง “ยุบพรรค” อุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนา-ไม่ใช่ทางออก

ส่วน นายภราดร กล่าวว่า การเมืองจะดีหรือไม่ดี พรรคการเมืองจะดีหรือไม่ดี ต้องเริ่มต้นจากกติกา พรรคการเมืองจะดีได้ กติกาต้องดีก่อน พรรคการเมืองเป็นบ้านของสมาชิก และทำหน้าที่ในการนำเสนอ แนวทางความคิดของตัวเองสู่สาธารณะ ให้สาธารณะวิพากษ์วิจารณ์เห็นตัวตนของพรรค ต้องมีการสอบถามว่า ประชาชนต้องการอะไรแล้วเอาความต้องการนั้น มาเป็นแก่น เป็นหลักคิดนำเสนอต่อสังคมอีกครั้ง แล้วลงสู่สนามเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชนเลือกเข้าสู่การเป็นคณะบริหาร 

“นี่คือสิ่งที่สังคมไทยปรารถนาที่จะเห็น แต่ที่ผ่านมาพรรคการเมืองถูกกดทับถูกบีบคั้น ถูกทำให้รู้สึกว่า นักการเมือง และ พรรคการเมืองเป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นสิ่งที่สังคมไม่ปรารถนา จึงออกกติกามาเหมือนกับว่า พยายามที่จะเข่นฆ่านักการเมือง เข่นฆ่าพรรคการเมือง ไม่ให้พรรคการเมืองมีการเติบโต 

โดยเฉพาะในรัฐธรรมนูญปี 2550 และฉบับ 2560 ที่มีกติกาในการยุบพรรค ซึ่งคิดว่าไม่มีใครเห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมือง จากกติกาที่เขียน ว่าจะต้องยุบจาก เหตุผล 1 2 3 แต่พรรคการเมืองจะต้องยุบพรรคจากประชาชน ในอดีตหลายพรรคการเมืองที่เกิดมา ปัจจุบันก็ไม่มีสถานะแล้ว เพราะประชาชนไม่เลือก” 

นายภราดร กล่าวอีกว่า “หลายคนผ่านประสบการณ์ถูกยุบพรรคมาแล้วทั้งสิ้น อาจารย์ชูศักดิ์ 2 ครั้ง นายชัยธวัช 1 ครั้ง ส่วนตน 1 ครั้ง และกำลังสุ่มเสี่ยงอีก 1 ครั้ง ฉะนั้น ถือเป็นความเจ็บปวดในฐานะคนการเมือง ที่ต้องมาทำการเมืองโดยมีความระแวง ว่าจะถูกยุบพรรค จากการทำงานการเมืองหรือไม่”

ทั้งนี้ ตนอยากเห็นพรรคการเมืองแข่งกันนำเสนอมุมมองทัศนคติทางการเมือง เศรษฐกิจสังคมการศึกษา จะเดินหน้าพัฒนาประเทศผ่านนโยบายต่างๆ แต่จะเห็นว่า ในปี 2562 และ 2566 ในการเลือกตั้งพรรคการเมืองไม่ได้แข่งในเรื่องเหล่านี้ แต่กลับแข่งกันว่า เป็นพวกของใคร เป็นฝ่าย เผด็จการ หรือฝั่งประชาธิปไตย ซึ่งนี่เป็นเรื่องพื้นฐานมาก มันมีที่ไหนที่พรรคการเมืองอยู่ฝั่งเผด็จการ เพราะทุกคนก็มาจากการเลือกตั้ง 

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างอยู่ที่กติกา แต่ชนใดเขียนกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น รัฐธรรมนูญปี 2560 ก็มาจากผู้ที่ทำรัฐประหาร เมื่อปี 2557 เขียน กฎหมาย เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์การเลือกตั้งปี 2562 กติกาจึงบิดเบี้ยวมาจนถึงทุกวันนี้ 

คิดว่าสิ่งที่พรรคการเมืองเห็นตรงกัน ประเด็นแรกที่จะต้องทำคือ การแก้ไขกติกาให้เป็นสากล แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน ผ่าน สสร.ที่มาจากประชาชน นี่คือ เรื่องสำคัญที่เป็นหัวใจของการเลือกตั้งรอบนี้และอนาคตต่อไป 

หากกติกาเข้มแข็งเป็นสากล มาจากประชาชน ซึ่งยังไม่รู้ว่าสุดท้ายจะออกมาแบบไหน แต่แน่นอนว่าเมื่อมาจากประชาชนย่อมดีกว่ารัฐธรรมนูญที่มาจากเผด็จการ ทั้งฉบับ 2550 และ 2560 ดังนั้นเมื่อกติกาดี พรรคการเมืองดีก็นำไปสู่การเมืองที่ดี”

"พรรคการเมืองต่อไปนี้ ถ้าเป็นกติกาใหม่ เราจะไม่ต่อสู้การเมืองบนคำว่า เผด็จการ หรือ ประชาธิปไตย แต่จะมาต่อสู้กันว่า เราเป็นพรรคการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม หรือ เป็นพรรคการเมืองเสรี เราจะทำเศรษฐกิจแบบทุนเสรีทำเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม อะไรก็แล้ว แต่นี่คือช่ องทางการนำเสนอของพรรคการเมือง ที่จะเสนอต่อประชาชนให้ได้เลือกในสิ่งที่เขาควรจะเลือก ไม่ใช่มาเลือกว่า เป็นเผด็จการประยุทธ์ หรือมีลุงไม่มีเราอะไรแบบนี้" 

นายภราดร กล่าวด้วยว่า พฤติกรรมการกระทำของพรรคการเมืองต่างๆ จะมีผลต่ออนาคต ประชาชน จะเป็นผู้ตัดสินผ่านการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้หมายความว่า นักการเมืองตรวจสอบไม่ได้ องค์กรอิสระยังมีหน้าที่ในการตรวจสอบนักการเมืองอยู่ดี แต่ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายที่พอเหมาะพอสม ไม่ใช่มีธงที่จะกลั่นแกล้งทางการเมืองกัน 

“อย่างเรื่องของการยุบพรรค ซึ่งผมเชื่อว่าการยุบพรรคทุกครั้งนั้น มีธงทางการเมือง และเชื่อว่าสังคมก็เห็นแบบนั้นเหมือนกัน ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าพรรคการเมืองถูกตรวจสอบโดยองค์กรอิสระไม่ได้ แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายแต่พอเหมาะสม และการตรวจสอบที่เข้มแข็งที่สุดคือ การตรวจสอบโดยประชาชน” นายภราดร กล่าว