ประเด็นการถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ล่าสุดหลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีในประเด็นที่ว่า ไอทีวีมีการดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่
กระทั่ง นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานกรรมการไอทีวี ซึ่งปรากฎอยู่ในคลิปดังกล่าวตอบคำถามว่า "ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน" ซึ่งเมื่อตรวจสอบรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ทั้งนี้ หลังจากที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลางไปที่ศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2564 เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ. 54/2564 ซึ่งจนถึงปัจจุบันคดีข้อพิพาทระหว่าง ไอทีวี และ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด
ในปี 2559 ก่อนที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะเข้าสู่ถนนการเมือง พร้อมกล่าวอ้างเกี่ยวกับการถือหุ้นไอทีวีของตัวเองว่า ไอทีวี ได้ปิดกิจการ เลิกทำสื่อไปแล้ว ณ ขณะนั้น รวมถึงกรณีที่ นายคิมห์ ประธานกรรมการไอทีวีที่ปรากฎอยู่ในคลิปดังกล่าว ระบุว่า "ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน" นั้น
กลับปรากฎข้อมูลว่า ไอทีวี ได้มีการวางแผนการลงทุนของบริษัทอีกครั้งซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การเข้าร่วมลงทุนในสถานีโทรทัศน์ทีวีดิจิตอลโดยในรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 ในวาระที่ 7.3 เรื่อง การพิจารณาแนวทางการดําเนินกิจกรรมหลังจากได้รับคําชี้ขาดจากคณะอนุญาโตตุลาการ ดังนี้
ประธานได้แถลงต่อที่ประชุมว่า คณะกรรมการเห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นรับทราบเรื่องการพิจารณาแนวทางการดําเนินกิจการของบริษัท ภายหลังจากได้รับคําชี้ขาดจากคณะอนุญาโตตุลาการที่คณะกรรมการได้ดําเนินการไปแล้ว ดังนี้
ภายหลังจากที่คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคําชี้ขาดในคดีข้อพิพาทหมายเลขดําที่ (เป็นคดีข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 1/2559) เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2559 ซึ่งตัดสินว่า สปน. บอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานและดําเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบยูเอชเอฟไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คณะกรรมการบริษัทได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย ฮันตัน แอนด์ วิลเลี่ยมส์ ให้ทําการศึกษาและวางแผนโครงสร้างการลงทุนที่เหมาะสมของบริษัทเพื่อให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้เข้าใจและรับทราบรายละเอียดการทํางานของคณะกรรมการในช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงขอรายงานเรียงตามลําดับเวลา ดังนี้
ปลายเดือนเมษายน 2559
บริษัทได้รับความเห็นของที่ปรึกษากฎหมาย ระบุว่า บริษัทสามารถดําเนินการเรื่องการลงทุนได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย มีความเสี่ยงเฉพาะในเรื่องผลประกอบการและสถานะของกิจการที่จะเข้าไปลงทุน
ช่วงเดือนพฤษภาคม-เดือนสิงหาคม 2559
คณะกรรมการได้พิจารณาและวิเคราะห์โครงสร้างการลงทุนของบริษัทที่มีความเหมาะสมเพื่อสรรหาโครงสร้างการลงทุนที่จะเกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นในหลากหลายรูปแบบ
เดือนพฤศจิกายน 2559
สรุปเรื่องโครงสร้างการลงทุน โดยบริษัท อาร์ตแวร์ มีเดีย จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกจะเป็นผู้ลงทุนในแนวทางและกรอบการลงทุนที่บริษัทได้ศึกษาและกําหนดไว้
เดือนมกราคม 2560
ได้รับข้อเสนอทางธุรกิจจากบริษัทเป้าหมายซึ่งประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ทีวีดิจิตอล ต้องการเพิ่มทุนจดทะเบียนให้บริษัทเข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 49 ในวงเงินประมาณ 300 ล้านบาท
ในการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 ทีมผู้บริหารของบริษัทเป้าหมายเข้ามานําเสนอและอธิบายแผนธุรกิจและกลยุทธ์ของบริษัทต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท และในการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2560 คณะกรรมการบริษัทได้ประชุมเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับข้อเสนอทางธุรกิจของบริษัทเป้าหมาย
ภายหลังที่ได้หารือร่วมกัน โดยวิเคราะห์ถึงสภาพตลาด การแข่งขัน และข้อดีข้อเสียของการเข้าลงทุนตามข้อเสนอของบริษัทเป้าหมายอย่างรอบคอบแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า บริษัทไม่สามารถตอบรับข้อเสนอทางธุรกิจของบริษัทเป้าหมายได้เนื่องจาก
1. ธุรกิจสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงมาก มีผู้ประกอบการรายที่เป็น ผู้นําตลาดเท่านั้นที่จะพอสร้างกําไรได้
2. มีความไม่แน่นอนในการประมาณการรายได้ในอนาคตของบริษัทเป้าหมาย ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดจากสมมุติฐานใด และไม่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอที่จะทําให้เชื่อถือได้ว่า บริษัทเป้าหมายจะสามารถเติบโตและสร้างรายได้ตามที่ได้คาดการณ์ไว้
3. มีความกังวลเรื่องการบริหารเงินลงทุน เนื่องจากบริษัทเป้าหมายมุ่งเน้นในการนําเงินเพื่อ เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท (working capital) ซึ่งอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้แก่บริษัทในระยะยาวได้
4. บริษัทเป้าหมายมีภาระหนี้สินในระดับสูง จึงยังไม่เห็นความเป็นไปได้ว่า หากบริษัทตอบรับข้อเสนอทางธุรกิจดังกล่าวและใส่เงินลงทุนเข้าไปแล้ว บริษัทเป้าหมายจะสามารถ บริหารเงินลงทุนจนสามารถพลิกฟื้นธุรกิจได้ในระยะเวลาอันใกล้
นอกจากนี้คณะกรรมการยังได้ร่วมกันพิจารณากําหนดทิศทางการลงทุนของบริษัทให้เป็นรูปธรรมโดยมีมติกําหนดกรอบการลงทุน ดังต่อไปนี้
กำหนดขนาดของการลงทุน:
กลุ่มธุรกิจเป้าหมาย:
สัดส่วนในการลงทุน:
ทั้งนี้ บริษัทจะทําการคัดเลือกและแต่งตั้งบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนที่มีความน่าเชื่อถือและมี ชื่อเสียง เพื่อมาให้คําปรึกษาในการสรรหาบริษัทเป้าหมายและการดําเนินการอื่น ๆ ที่จําเป็น เช่น การวิเคราะห์ศักยภาพและการลงทุน การศึกษารายละเอียดรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมและการดําเนินการเกี่ยวกับขั้นตอนและประสานงานกับหน่วยงานภายนอกเพื่อการทํา due diligence ในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาและคัดเลือกที่ปรึกษาการลงทุน หลังจากที่บริษัทแต่งตั้ง ที่ปรึกษาการลงทุนเรียบร้อยแล้วก็จะดําเนินการหาธุรกิจเป้าหมายเป็นลําดับต่อไป