ชำแหละนโยบายแบน"บุหรี่ไฟฟ้า"ไทยล้มเหลวเกือบ 10 ปี

24 ต.ค. 2566 | 12:54 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ต.ค. 2566 | 14:14 น.

ชำแหละนโยบายแบน"บุหรี่ไฟฟ้า"ไทยล้มเหลวเกือบ 10 ปี เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเตรียมเสนอรายงานคู่ขนาน ชี้ไทยเพิกเฉยหลักการลดอันตรายตามอนุสัญญาควบคุมยาสูบของ WHO ทำคนไทยเสียชีวิตกว่า 70,000 คนต่อปี

นายมาริษ กรัณยวัฒน์ ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าและเพจบุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร เปิดเผยถึงการเข้าร่วมประชุมของคณะผู้แทนไทยในการประชุมสมัชชารัฐภาคีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกครั้งที่ 10 (COP10) พร้อมด้วยร่างระเบียบวาระการประชุม COP10 และรายงาน (Shadow Report) เกี่ยวกับการไม่ดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ มาตรา 1 (d) ว่าด้วยยุทธศาสตร์การลดอันตราย (Harm Reduction) ของประเทศไทย รวมทั้งความล้มเหลวของการแบนบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยว่า 

มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าการเพิกเฉยต่อการดำเนินการตามมาตรา 1 (d) ที่ไม่ยอมรับทางเลือกในการลดอันตรายโดยการแบนบุหรี่ไฟฟ้านั้นล้มเหลว เพราะการใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นในกลุ่มประเทศที่มีการแบนบุหรี่ไฟฟ้า เช่น ไทย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อินเดีย เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนนาดา นิวซีแลนด์ ที่มีการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกต้องตามกฎหมาย และถึงแม้ประเทศเหล่านี้จะมีวัยรุ่นที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าแต่ก็ไม่มีนโยบายที่จะแบนโดยสิ้นเชิงแบบในประเทศไทย

ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวได้มีการกล่าวถึงการประชุมสมัชชารัฐภาคีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบหรือ WHO Framework Convention on Tobacco Control (WHO FCTC) ครั้งที่ 10 (COP10) ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การอนามัยโลก ในวันที่ 20 - 25 พฤศจิกายน 2566 นี้ ที่กรุงปานามา ซิตี้ ประเทศปานามา

โดยใจความสำคัญของรายงานดังกล่าวพูดถึงอัตราการสูบบุหรี่ในไทยไว้ว่า ประเทศไทยแม้จะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำด้านการควบคุมยาสูบจากการประเมินล่าสุดขององค์การอนามัยโลก แต่ว่ากลับไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดอัตราการสูบบุหรี่ของประชากรถึง 2 ครั้งติดต่อกันคือ 18.7% ในปี 2557 และ 16.7% ในปี 2562 ตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติเพื่อการควบคุมยาสูบ

ชำแหละนโยบายแบน"บุหรี่ไฟฟ้า"ไทยล้มเหลวเกือบ 10 ปี

นอกจากนี้ยังมีการระบุว่า ประเทศไทยวัดผลความสำเร็จในการควบคุมยาสูบจากจำนวนกฎระเบียบที่ออกมา แทนที่จะพิจารณาว่าอันที่จริงแล้วกฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ 

แม้ว่าไทยจะมีการออกระเบียบข้อบังคับมากกว่าประเทศใดในโลกเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตามกรอบอนุสัญญาฯ แต่ว่าอัตราการสูบบุหรี่ของประเทศไทยก็ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา แต่กลับยังกีดกันผู้สูบบุหรี่ 9.9 ล้านคนไม่ให้เข้าถึงทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า

“ประเทศไทยควรพิจารณาเปิดรับหลักการลดอันตรายจากยาสูบดังเช่นประเทศอื่น และพิจารณาข้อเสนอแนะในการนำหลักการลดอันตราย เช่นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมาย เข้ามาสนับสนุนมาตรการด้านกฎระเบียบและการรณรงค์อย่างสร้างสรรค์เพื่อสร้างความตระหนักในพิษภัยของยาสูบ ตามที่ปรากฎในคำแนะนำตามรายงานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ผ่านมา สอดคล้องกับความเห็นของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินและความเห็นของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยในช่วงการเลือกตั้งในฐานะที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและยังดูแลกระทรวงสาธารณสุขอีกด้วย” 

อย่างไรก็ดี เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้ทำเอกสารรายงานคู่ขนาน (Shadow Report) ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลซึ่งสะท้อนถึงสภาวการณ์และความเป็นจริงของการควบคุมยาสูบในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการแบนบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ตั้งแต่ธุรกิจใต้ดินขนาดมหาศาล ภาษีที่รัฐไม่สามารถจัดเก็บได้ การควบคุมมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การรีดไถของเจ้าหน้าที่ และการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน 

ซึ่งเครือข่ายฯระบุว่า หวังว่าผู้มีอำนาจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำรายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาการกำหนดท่าทีของประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุม FCTC COP10 นี้ เพื่อให้จุดยืนของประเทศเป็นกลาง สอดคล้องกับความเป็นจริงในบริบทปัจจุบันที่ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ด้วยการแบนแล้ว และทำให้การควบคุมยาสูบในไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยชีวิตคนไทย ช่วยชีวิตผู้สูบบุหรี่กว่า 70,000 ที่ต้องเสียชีวิตต่อปี และช่วยปกป้องเด็กและเยาวชนไปพร้อมกัน