วช.เปิดนวัตกรรมผ้ามัดหมี่ทอมือ อัพเกรดผ้าไหมแดนอีสาน

02 มี.ค. 2566 | 16:29 น.
อัปเดตล่าสุด :02 มี.ค. 2566 | 18:46 น.

วช.ดันนวัตกรรมผ้ามัดหมี่ทอมือ จ.บุรีรัมย์ เพิ่มมูลค่าผ้าไหมถิ่นอีสาน หนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน สร้างรายได้แรงงานนอกภาคเกษตร

 ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช. ได้สนับสนุนนวัตกรรมผ้าไหมไทยถิ่นอีสานส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน จากภูมิปัญญาท้องถิ่น ภายใต้โครงการ การเพิ่มมูลค่าผ้ามัดหมี่ทอมือของกลุ่มทอผ้าตำบลสายตะกู ชายแดนไทยกัมพูชาเพื่อพึ่งพาตนเอง โดยทีมงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เพื่อยกระดับคุณภาพผ้าไหมมัดหมี่ทอมือ ด้วยองค์ความรู้เสริมทักษะการออกแบบลวดลายผ้าให้ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและตลาดต่างประเทศ สร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มีการสร้างเครือข่ายชุมชนในรูปวิสาหกิจทอผ้าไหมพื้นเมือง เสริมรายได้ให้กับแรงงานนอกภาคเกษตร สามารถใช้งานฝีมือสร้างรายได้พึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืนเป็นรูปธรรม ไม่ต้องกลายเป็นแรงงานย้ายถิ่นหลังฤดูการเก็บเกี่ยว 

วช.เปิดนวัตกรรมผ้ามัดหมี่ทอมือ อัพเกรดผ้าไหมแดนอีสาน

รองศาสตราจารย์สมบัติ ประจญศานต์ อาจารย์สาขาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ในฐานะหัวหน้าโครงการเพิ่มมูลค่าผ้ามัดหมี่ทอมือ กล่าวว่า ได้เล็งเห็นถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นอันทรงคุณค่าของชาวบ้านชายแดนไทยกัมพูชาด้านจังหวัดบุรีรัมย์ จากผลิตภัณฑ์ชุมชนผ้าไหมมัดหมี่ทอมือ จึงได้นำเสนอโครงการจัดการองค์ความรู้การวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์การพัฒนาชุมชนพึ่งตนเองตามแนวพระราชดำริ เพิ่มศักยภาพชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งเพื่อให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน 

วช.เปิดนวัตกรรมผ้ามัดหมี่ทอมือ อัพเกรดผ้าไหมแดนอีสาน
 

ทั้งนี้จากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในพื้นที่ตำบลสายตะกุ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งติดกับชายแดนไทยกัมพูชา ประชากรส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพภาคการเกษตร และยังมีชาวบ้านส่วนหนึ่งเป็นแรงงานนอกภาคการเกษตร ประกอบอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมตามภูมิปัญญาดั้งเดิม จึงต้องการที่ขับเคลื่อนพัฒนาองค์ความรู้ให้กับชาวบ้านตั้งแต่กระบวนการผลิต สู่การนำไปจำหน่ายให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ในโลกออนไลน์ เพื่อส่งเสริมศักยภาพภูมิปัญญาท้องถิ่นจากผลิตภัณฑ์ชุมชนผ้าไหมมัดหมี่ทอมือ ออกแบบลวดลาย สีสัน ต่างๆ ให้ทันสมัย

วช.เปิดนวัตกรรมผ้ามัดหมี่ทอมือ อัพเกรดผ้าไหมแดนอีสาน

รองศาตราจารย์สมบัติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากลุ่มทอผ้าในตำบลสายตะกู ส่วนใหญ่ผลิตผ้าซิ่นไหมหรือด้ายใยประดิษฐ์จากการย้อมด้วยสีเคมี การออกแบบลวดลายมัดหมี่ใช้ลายดั้งเดิมหรืออาจมีการประยุกต์ให้เกิดลายใหม่ แต่ผืนผ้ามัดหมี่โดยขนาดกว้าง 1เมตร ยาว 2 เมตร เพื่อตัดเย็บเสื้อผ้าราคาต่อผืนประมาณ 2,500 – 3,000 บาท ทำให้นักท่องเที่ยวหรือลูกค้าผู้มาเยือนที่ต้องการสินค้าที่ระลึกที่ราคาต่อผืนไม่สูงนักไม่สามารถซื้อได้ หรือ ลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าที่พร้อมใช้งานไม่ต้องนำไปตัดเย็บก็ไม่สามารถเลือกซื้อได้ โครงการจึงมีแนวคิดให้กลุ่มผลิตเป็นผ้าคลุมไหล่มัดหมี่ขนาดกว้าง 65 เซนติเมตร ยาว 2 เมตร ย้อมสีธรรมชาติ ทำให้ราคาสินค้าต่อผืนต่ำกว่าเดิมและเป็นสินค้าแปรรูปใช้งานได้ทันที เหมาะเป็นของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว ขณะเดียวกันได้ส่งเสริมองค์ความรู้เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ในเรื่องการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายเครื่องแขวนไทยดอกไม้สด 
 

นอกจากนี้โครงการฯมีการจัดอบรมเชิงวิชาการเรื่องการย้อมสีจากพืชพันธุ์ในท้องถิ่น ตามวิถีธรรมชาติเช่น ใบยางพารา  ใบแก้ว ใบมะม่วงป่า ใบสัก เปลือกต้นหมากเบ็ง ( ลูกหยี ) แก่นก้านเหลืองฝักคูน เม็ดคำแสด โดยใช้กระบวนการย้อมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ผลการอบรมได้เฉดสีทั้งหมด 11 สี ซึ่งผู้เข้าอบรมยังมีความสนใจต้องการทดลองใช้วัสดุธรรมชาติอื่น ๆ อีกที่มี เช่น เปลือกต้นตะกู ใบหูกวาง ใบสบู่เลือด เปลือกประดู่ เปลือกมะพร้าวสด ขมิ้น เป็นต้น ทำให้ได้เฉดสีที่มีความสวยงามละมุนตา และเพื่อเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน ได้มีการไปขอรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ( มผช. )ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบจากกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงการออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้า Eco Friendly Product เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

วช.เปิดนวัตกรรมผ้ามัดหมี่ทอมือ อัพเกรดผ้าไหมแดนอีสาน
  
 สำหรับการขยายผลต่อยอด รองศาตราจารย์สมบัติ กล่าวว่า ขณะนี้มีกิจกรรมจัดประชุมถ่ายทอดความรู้ขยายผลไปยังกลุ่มทอผ้าตำบลสายตะกู หมู่ที่ 2, 8, 10, 12 และ 13  ทั้งการออกแบบลวดลายมัดหมี่และการย้อมสีธรรมชาติ โดยมีการติดตามการนำองค์ความรู้ไปใช้ในการผลิตเป็นสินค้า และมีการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อการวิเคราะห์ต้นทุนและส่งเสริมการตลาดออนไลน์  กิจกรรมทดสอบตลาด กิจกรรมส่งเสริมการตลาดด้วยการออกร้านจำหน่ายสินค้าในงานเทศกาล และสุดท้ายเป็นการจัดเวทีสรุปบทเรียนโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์ สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอบ้านกรวด สภาวัฒนธรรมอำเภอบ้านกรวด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสายตะกู และคณะผู้บริหาร กำนันตำบลสายตะกู รวมถึงสมาชิกกลุ่มทอผ้าตำบลสายตะกู หมู่ที่ 2, 3, 8, 10, 12 และ 13