จากเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงที่ผ่านมา มียอดขาย-ยอดผลิตที่ลดลงดังจะเห็นจากการที่กลุ่มยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมฯ ได้แถลงปรับเป้าการผลิตยานยนต์ไทยสำหรับปี 2567 นี้ รวมเหลือ 1.7 ล้านคัน จากเดิมตั้งเป้าที่ 1.9 ล้านคัน
นางสาว อนุษฐา เชาว์วิศิษฐ เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) เปิดเผยว่า สมาคมฯในฐานะหน่วยงานกลางที่มีบทบาทระหว่างภาครัฐฯ และเอกชนฯ ที่ปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 660 บริษัท จึงได้มีมติเร่งด่วนให้จัดการประชุมใหญ่ฯเพื่อระดมความคิดเห็นของสมาชิก รับฟังผลกระทบ ปัญหาอุปสรรคที่แท้จริงในสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมจัดทำแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้น กลาง ยาว เพื่อนำเสนอภาครัฐบาลฯ
"เชื่อว่าหากได้มีการหารือร่วมกันกับหน่วยงานรัฐฯ อย่างใกล้ชิดจริงจังและต่อเนื่อง จะสามารถช่วยให้มีนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด รักษาอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ป้องกันปัญหาการตกงานของคนไทยต่อไป"
ด้านนายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) กล่าวว่า สถานการณ์ที่อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมนี้ หากไม่มีการดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อุตสาหกรรมอาจจะไม่สามารถรักษาตำแหน่งที่สำคัญในเศรษฐกิจของประเทศได้
"ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่านโยบายภาครัฐ ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคและส่งต่อมายังอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจอยู่เสมอ ภาครัฐฯ จึงจะเป็นส่วนสำคัญที่สุด และถึงเวลาที่รัฐฯ จะต้องรับฟังอย่างจริงใจ และร่วมกันแก้ไขปัญหาไปพร้อมๆกับภาคเอกชน จนสามารถก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ไปได้ ซึ่งสมาคมฯ มีความมั่นใจว่าภาครัฐฯ พร้อมที่จะหารือร่วมกัน จนตกผลึกเป็นนโยบายที่มีความเป็นธรรม และสร้างความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างแท้จริง"
สมาคมฯ มองว่ากลยุทธ์นี้สำคัญและตอบโจทย์มากที่สุด เนื่องจากขณะนี้หลายประเทศกำลังจะย้ายฐาน ICE เดิมออกมา ทั้งจากการต้องการรวมการผลิตเพื่อลดต้นทุน และนโยบายแบน ICE ของบางประเทศ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว รถยนต์สันดาปสะสมยังคงจะยังวิ่งได้ต่อไป ทำให้ยังคงมีความต้องการชิ้นส่วนและอะไหล่ไปอีกอย่างน้อย 7-15 ปี
ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสของไทย ที่จะสามารถใช้จุดแข็งเดิม รักษาฐานการส่งออกของ ICE โดยเฉพาะพวงมาลัยขวา ดึงดูดการลงทุนจากทุกประเทศทั่วโลก มาตั้งฐานการผลิตที่ไทย เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสุดท้าย รวมถึงความไม่แน่นอนของเทคโนโลยี ซึ่งอาจเกิดการ Reborn ของ ICE อีกด้วย
นายสมพล กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตามด้วยด้วยปัญหาเรื่องต้นทุน ทั้งวัตถุดิบต้นน้ำและการพัฒนา R&D รัฐบาลจึงจำเป็นต้องสนับสนุน เช่น การลดภาษีนำเข้าของวัตถุดิบสำคัญ ,สิทธิภาษีในการนำเข้าเครื่องจักร หรือภาษีจากรายได้ โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิต ในกลุ่ม relocation Downsizing มาที่ไทย ฯ ซึ่งในเรื่องนี้ อยู่ระหว่างหารือกับ BOI
อีกเรื่องสำคัญในการดึงดูดการย้ายฐานมาที่ประเทศไทยนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความชัดเจนของนโยบายภาครัฐ ที่ทำให้การแข่งขันมีความเท่าเทียมและเป็นไปตามกลไกการตลาด
ปัจจุบันที่มีการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า 30@30 แต่ยังขาดความชัดเจนในนโยบาย 70@30 กล่าวคือ นโยบายหรือจุดยืนที่จะต้องประกาศออกไปให้ทั่วโลกรับทราบอย่างชัดเจน ว่าประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญกับ ICE พร้อมนโยบายส่งเสริมการผลิต ICE อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถ HEV ที่ล่าสุดจากการหารือร่วมกับ BOI ได้มีมติส่งเสริมดังกล่าว โดยการลดอัตราภาษี HEV ลงมาที่ 6% แต่ยังอยู่ระหว่างการรอ ครม .
นายสมพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันอย่างที่เราทราบกันดีถึงการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล ทำให้ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะถูกออกประกาศเมื่อไร หากช้าไป อาจจะทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงการลงทุนนี้ได้ เนื่องจากทุกกิจการมีความจำเป็นต้องวางแผนการลงทุนล่วงหน้า อีกทั้งสมาคมฯ ยังเห็นว่าการลดภาษี HEV เหลือ 6% นี้ อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีการใช้ชิ้นส่วนฯ น้อยกว่า ดังนั้นหากเป็นไปได้ภาครัฐควรเร่งพิจารณาลดภาษีเพื่อจูงใจมากขึ้น เพื่อให้ยังเหลือความต่างระหว่างการปลดปล่อยคาร์บอน แต่ไม่มากเกินไป จนไม่สามารถแข่งขันได้
นายสุพจน์ สุขพิศาล รองเลขาธิการสมาคมฯ และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกลยุทธ์ข้อที่ 2 โดยระบุว่าตลาด Aftermarket เป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีความน่าสนใจ และเป็นโอกาสของผู้ผลิตชิ้นส่วน แต่มีความท้าทายด้านตลาดและการสร้างแบรนด์ การสร้างการรับรู้แบรนด์และการเข้าถึงตลาดในตลาดหลังการขายมีความสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงเรื่องต้นทุนเช่นกัน
ดังนั้นการสนับสนุนจากรัฐบาลควรเป็นสิ่งที่จับต้องได้ของการหาตลาดส่งออก พร้อมทั้งวิธีการที่ถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนสินค้าถึงปลายทาง สิ่งสำคัญอย่างมากคือ Platform ที่จะช่วยให้สามารถขายได้ทั่วโลก ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนค่อนข้างมาก และมีทีมดูแลที่ต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาไปเรื่อยๆ หากเป็นเอกชนรายใดรายนึงจัดทำ หรือภาครัฐฯ เป็นผู้ดูแลเอง แต่ขาดผู้เชี่ยวชาญของอุตสาหกรรมที่เป็นผู้เล่นตัวจริง ก็อาจจะทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ และด้วยเงินทุนที่สูงมาก ดังนั้นสมาคมฯ เห็นว่ารัฐควรสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว
"เราเสนอว่าอาจจะมีหน่วยงานกลาง เหมือนอย่างที่ไต้หวันมีการจัดตั้ง TAIWAN Excellence เพื่อดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่การทำR&D การเป็นศูนย์กลางในการส่งออกไปทั่วโลก รวมถึงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการร่วมออกงานแสดงสินค้าต่างประเทศเพื่อหาตลาดใหม่ๆ อยู่เสมอ"
กลยุทธ์ข้อสุดท้าย นายสมพล กล่าวว่า การที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย มีความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูงมาก เรียกได้ว่ามีความสามารถในการผลิตระดับสูง มีระบบระเบียบแบบแผนจากการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องกว่า 50 ปี ดังนั้นหากรัฐบาลสามารถสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขยับไปทำอุตสาหกรรมอื่น เช่น ระบบราง เครื่องมือแพทย์ อากาศยาน ได้ก็จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ผลิต
ปัญหาปัจจุบันยังคงเป็นช่องว่างด้านเทคโนโลยีและความรู้ของอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนไปทำได้ อุปสรรคด้านการลงทุนและต้นทุนที่สูง ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากในการเปลี่ยนแปลง โดยมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาและการปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นอุปสรรคสำคัญ รวมถึงการเข้าถึงตลาดและความไม่แน่นอนของความต้องการ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ที่ต้องได้รับการยินยอมจากแพทย์ เป็นต้น
ดังนั้นหากภาครัฐ ต้องการให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ สามารถปรับเปลี่ยนไปทำอุตสาหกรรมอื่นได้นั้น มีความจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมและเปิดทางให้แก่ผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก ต้องเป็นหน่วยงานกลางในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญ และแก้ไขปัญหาอุปสรรคบางอย่าง
โดยสรุปทั้งหมดของทั้ง 3 กลยุทธ์ "Last Man Standing," "Parts Transformation," และ "REM (Aftermarket) สมาคมฯประเมินว่ามาตรการจูงใจต่อไปนี้ ควรได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม กระจายความเสี่ยงสู่ตลาดใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน