ไทยตั้งเป้าปี 67 ผลิตรถยนต์ 1.9 ล้านคัน “อีวี”รุ่ง ยอดป้ายแดงพุ่ง 1.9 แสนคัน

29 ม.ค. 2567 | 16:58 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ม.ค. 2567 | 17:18 น.

กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตฯตั้งเป้าผลิตรถยนต์ปี 67 ที่ 1.90 ล้านคัน เล็งส่งออกโต ขายในประเทศลดลงจากหลากปัจจัย ขณะรถยนต์ไฟฟ้ารุ่ง ยอดจดทะเบียนรถป้ายแดงพุ่ง 1.9 แสนคัน

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในปี 2567 ทางกลุ่มฯได้ตั้งเป้าหมายผลิตรถยนต์ที่ 1.90 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.17 เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มียอดผลิต 1.84 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 1.150 ล้านคัน เท่ากับร้อยละ 65 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงร้อยละ 0.52 เมื่อเทียบกับปี 2566 (ผลิตได้ 1.156 ล้านคัน) และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 750,000 คัน หรือร้อยละ 35 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.39 เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ผลิตได้ 685,628 คัน

 

  • โดยในส่วนของการผลิตเพื่อส่งออกมีปัจจัยบวก ดังนี้

-ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถกระบะซึ่งขนส่งสินค้าและคนเพื่อส่งออกไปทั่วโลกกว่าหนึ่งร้อยประเทศจึงอาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากจากเศรษฐกิจชะลอตัว

-ประเทศจีนเปิดประเทศซึ่งอาจส่งผลให้การค้าโลกและการท่องเที่ยวเติบโตเป็นผลดีต่อการส่งออกของหลายประเทศดีขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกของประเทศไทย

-การขาดแคลนชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์คลี่คลายลงมากส่งผลให้การผลิตเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น

-การลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอาจมีการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า

-คำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศคู่ค้า สหรัฐฯ, ยุโรป, จีน เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มอ่าวอาหรับ (GCC)

-อัตราดอกเบี้ยอาจอยู่ในช่วงขาลงทำให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น

  • ปัจจัยลบ

-การเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงและความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและการเพิ่มขึ้นใหม่ซึ่งจะ ส่งผลต่อการส่งออกลดลงและเงินเฟ้ออาจสูงขึ้น

-ตลาดทั้งในและต่างประเทศเกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในสินค้าประเภทเดียวกัน และคู่แข่งเกิดขึ้นในภูมิภาคเพิ่มขึ้น

-นโยบายของประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก เช่น การขึ้นภาษีสรรพสามิตในรถยนต์บางประเภทในลาว

  • การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ

ตั้งเป้าหมายที่ 750,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 685,628 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.39 มีปัจจัยดังนี้

  • ปัจจัยบวก

-การย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาไทย ทำให้เกิดการเชื่อมโยง Supply Chain ของอุตสาหกรรม

-ความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นทั่วโลกจากกฎระเบียบและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

-เริ่มมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

  • ปัจจัยลบ

-หนี้ครัวเรือน​สูง​ หนี้​สาธารณะ​สูง ค่าครองชีพ​สูง​ อัตราดอกเบี้ย​สูง​ ส่งผล​กระทบ​ต่อ​อำนาจ​ซื้อ​ของ​ประชาชน​ลดลง ทำให้​ยอด​ขาย​อุตสาหกรรม​อสังหาริมทรัพย์​ อุตสาหกรรม​ยานยนต์​ซึ่ง​มี supply chain ​หลาย​อุตสาหกรรม​ชะลอ​ตัวลง ส่งผล​ต่อ​การ​จ้างงาน​ ทำให้รายได้​คนงาน​ก่อสร้าง​และ​โรงงาน​ลดลง

-งบประมาณ​รายจ่าย​ประจำปี ​2567 ล่าช้า​ออก​ไป​ราว 8 เดือนทำให้​การลงทุนและ​การ​กระตุ้น​เศรษฐกิจ​ล่า​ช้าออกไปด้วย​ ส่งผล​ให้การลงทุน​การจ้างงานของเอกชน​ล่าช้าออกไป เศรษฐกิจ​จึงเติบโต​ใน​ระดับต่ำ

-ภัยธรรมชาติ​ที่​คาด​ไม่ถึง อาจ​จะ​กระทบ​ต่อ​ผลผลิต​และ​รายได้เกษตรกร

-ความ​ขัดแยัง​ระหว่าง​ประเทศ​อาจ​ขยาย​ตัว​และ​เพิ่มขึ้น​หลาย​พื้นที่​จะ​ส่ง​ผล​ให้​ราคาพลังงาน​ ​สินค้า​ และ​วัตถุ​ดิบสูงขึ้น

-การ​ส่งออก​สินค้า​ต่าง​ ๆ​ ใน​ปี​นี่​อาจ​ลดลง​จาก​เศรษฐกิจ​โลก​ชะลอตัว​ลง​ส่งผล​การ​ผลิต​การ​ลงทุนการจ้างงาน​ลดลง อำนาจ​ซื้อ​ลดลง

อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตถึงทิศทางความต้องการใช้รถยนต์ในไทย เริ่มหันไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2566 ยอดจดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 100,214 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 381.77

ขณะที่ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV ในปี 2566 จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน  85,069 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 32.85 และยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV ในปี 2566 จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน  11,703 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 3.28