อีซูซุ ยืนยันผลิตรถกระบะไฟฟ้า EV แต่ไม่ขายไทย

11 ธ.ค. 2566 | 14:42 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ธ.ค. 2566 | 14:48 น.
2.5 k

อีซูซุ เตรียมขึ้นไลน์ผลิตรถกระบะไฟฟ้า EV ในไทย ก่อนโตโยต้า-ฟอร์ด เล็งส่งออกไปยุโรปปี 2568 ส่วนการทำตลาดในประเทศยังไม่มีแผน

หลังจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้มีการประชุมครั้งที่ 37/2566 ในวันที่ 9 ตุลาคม 2566 และประกาศโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 42 โครงการ และหนึ่งในโครงการที่ได้รับการอนุมัติได้แก่ บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จ.สมุทรปราการ ที่ยื่นขอแพกเกจผลิตอีซูซุกระบะไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ BEV

อีซูซุ เตรียมผลิตรถกระบะ EV ในไทย

ล่าสุดกลุ่มอีซูซุ โดยบริษัทตรีเพชร อีซูซุเซลส์ ออกมาเปิดเผยความคืบหน้าในการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตอีซูซุกระบะไฟฟ้า EV เพื่อส่งไปขายตลาดยุโรปในปี 2568

 

นายทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน อีซูซุทดสอบปิกอัพไฟฟ้า EV อยู่ และคาดว่าจะผลิตเพื่อส่งออกไปขายที่ตลาดยุโรปก่อน ส่วนการทำตลาดในประเทศอื่นๆรวมถึงไทยนั้นต้องพิจารณาตามความเหมาะสม ต้องดูความต้องการของประเทศนั้นๆ

 

“เรื่องกำลังการผลิตของปิกอัพไฟฟ้า EV ที่โรงงานอีซูซุในตอนนี้ อยู่ในระหว่างพิจารณาความต้องการของตลาดและการส่งออก จึงจะสามารถกำหนดกำลังผลิตได้ ส่วนการส่งออกไปทำตลาดยุโรปนั้นก็ไม่ได้ขายทุกประเทศ แต่จะทำเฉพาะประเทศที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นรถไฟฟ้าเท่านั้น”

สำหรับประเทศไทย อีซูซุประเมินว่าไม่เห็นความต้องการของลูกค้าสำหรับปิกอัพไฟฟ้าเลย ดังนั้นจึงมองว่ายังไม่ถึงเวลาในการแนะนำรถปิกอัพไฟฟ้าในตลาดประเทศไทย โดยปัจจัยสำคัญของการทำตลาดปิกอัพไฟฟ้า EV อีซูซุ และทุกแบรนด์ในตลาด ขึ้นอยู่กับนํ้าหนักบรรทุก ระยะทางวิ่งได้ไกลแค่ไหน และราคาจะดึงดูดลูกค้าได้หรือไม่

อีซูซุ เตรียมผลิตรถกระบะ EV ในไทย

“ส่วนการเข้ามาของรถไฟฟ้าในตลาดประเทศไทยตอนนี้ ถามว่ากระทบกับอีซูซุหรือไม่นั้น จากการวิเคราะห์ของเรา ในเชิงปริมาณยังไม่เห็นผลกระทบที่มีนัยสำคัญอะไร เพราะคนละเซกเมนต์กัน ขึ้นกับสเปคและราคา เพราะถ้าราคาถูกก็น่าจะขายได้มาก ไม่แน่ใจว่าจะขยายตัวมากกว่านี้หรือเปล่า”

 

นายฮาตะ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยของรัฐบาลในชุดปัจจุบัน โดยระบุว่า การที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าจะรักษาให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถสันดาปสุดท้ายของโลก อีซูซุ เห็นด้วยกับนโยบายนี้และคิดว่าดีมาก เพราะการจะก้าวไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนไม่จำเป็นต้องรถไฟฟ้าอย่างเดียว แต่สามารถจะเป็นรถสันดาปภายใน ICE หรือเป็นรถพลังงานทางเลือกอื่นๆ

 

อีกทั้ง นโยบายนี้ยังสำคัญมาก เพราะมีผลต่อการรักษาซัพพลายเชน หรือห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไว้ให้ได้มั่นคงเหมือนที่เคยเป็นมา ทำให้มีการจ้างงานต่อเนื่องด้วย