อีโคคาร์ตัวถังซีดาน เป็นเซกเมนต์ที่มีสัดส่วนขายมากที่สุดในกลุ่มรถยนต์นั่งของเมืองไทย ด้วยตัวเลขระดับ 9 หมื่นคันในปีที่ผ่านมา โดย Toyota Yaris Ativ เป็นเจ้าตลาด ตามด้วย Honda City, Mazda2, Nissan Almera, Mitsubishi Attrage และ Suzuki Ciaz
สำหรับ Toyota Yaris Ativ เปลี่ยนโฉมโมเดลเชนจ์ช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ภายใต้เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตรบล็อกเดิม แต่พัฒนาโครงสร้างตัวถังใหม่ โดดเด่นด้วยฟังก์ชันการใช้งาน มีความคุ้มค่าต่อราคาสูง จนทำให้ผลิตไม่ทันกับความต้องการ โดยเฉพาะ 2 รุ่นบนคือ Premium กับ Premium Luxury ต้องรอรถกันนานข้ามปี
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2566 Toyota Yaris Ativ ปรับขึ้นราคาขาย 1 หมื่นบาท ทุกรุ่นย่อย โดยรุ่น Sport ราคา 5.49 แสนบาท Smart อยู่ที่ 5.94 แสนบาท Premium 6.69 แสนบาท และ Premium Luxury ราคา 6.99 แสนบาท
โตโยต้ายอมรับว่า ที่ผ่านมา Toyota Yaris Ativ ผลิตไม่ทันกับความต้องการของลูกค้า แม้จะพยายามเบ่งให้เกิน 4,000 คันต่อเดือนแล้วก็ตาม โดยทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ทำยอดขายรวมกันใน ปี 2565 ได้ 30,000 คัน
ล่าสุดโตโยต้าปรับเพิ่มการผลิต ส่งผลให้ส่งมอบรถได้มากขึ้น โดยไตรมาสแรกปีนี้ Toyota Yaris Ativ ขายไป 18,242 คัน แบ่งเป็นของเดือนมกราคม 5,400 คัน กุมภาพันธ์ 6,804 คัน และมีนาคม 6,038 คัน
เหนืออื่นใด โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ยังดำเนินการตามแผนเดิมคือ การเสริมทัพรุ่นไฮบริดให้ Toyota Yaris Ativ ซึ่งเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้
Toyota Yaris Ativ ที่อยู่ภายใต้การพัฒนาของ TDEM หรือ โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด โดยขุมพลังไฮบริดจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรกับมอเตอร์ไฟฟ้า เพียงแต่การทำงานจะต่างจากรถยนต์ไฮบริดของโตโยต้ารุ่นอื่นๆ ที่ทำตลาดในปัจจุบัน
โดย Toyota Yaris Ativ e-Smart Hybrid เป็นระบบไฮบริดแบบซีรีส์ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร ทำหน้าที่ปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ หรือส่งไปที่มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อหน้า คาดว่าราคาจะขยับขึ้นไม่น้อยกว่า 1 แสนบาท เมื่อเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร
นอกจากขุมพลังใหม่ของ Toyota Yaris Ativ แล้ว ตลาดอีโคคาร์ตัวถังซีดาน ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีการเปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์ของ Honda City และ Nissan Almera ที่ปรับหน้าตาเล็กน้อย พร้อมเพิ่มฟังก์ชันความปลอดภัยใหม่ ภายใต้เครื่องยนต์เดิมคือ 3 สูบ 1.0 ลิตร เทอร์โบ จากนั้นช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นคิวของ Mazda 2 ที่ได้รับการแต่งหน้าทาปากเช่นกัน
สำหรับมาสด้า ปิดยอดขายรวมในปี 2565 ได้ 31,638 คัน ลดลง 10.6% เมื่อเทียบกับปี 2564 ในจำนวนนี้เป็นของ Mazda 2 ถึง 16,249 คัน (ตัวถังซีดานและแฮตช์แบ็ก) ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของบริษัท แม้โมเดลนี้จะทำตลาดมา 8 ปีแล้วก็ตาม