ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เผยแพร่ข้อมูลผ่านเพจเฟซบุ๊ค Center for Medical Genomics ชี้ให้เห็นถึง ภาวะลองโควิด (Long Covid) 16 เรื่องที่น่าสนใจที่เราควรรู้ซึ่งเป็นการอัปเดตผลการศึกษาสำคัญ กลไกของการเกิดโรครวมถึงแนวทางการลดผลกระทบจากภาวะลองโควิด ซึ่งมีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้
เป็นครั้งแรกของสหรัฐที่ได้มีการนำเสนอข้อมูลภาวะลองโควิดอย่างจริงจังต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐที่อาคารรัฐสภา (คาปิตอลฮิลล์) ที่ดำเนินการสร้างกฎหมายและตัดสินใจเกี่ยวกับการเมืองและนโยบายของประเทศจัดขึ้นโดยคณะกรรมการด้านสุขภาพ การศึกษา แรงงาน และบำนาญของวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา
ดำเนินการโดยวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เบอร์นี แซนเดอร์ส (Bernie Sanders) เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาและประชาชนสหรัฐได้ตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยของลองโควิด โดยมีคำให้การจากผู้ป่วยและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคลองโควิด โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุงการดูแลผู้ป่วยลองโควิดและการลงทุนในด้านการวิจัยขั้นสูงเกี่ยวกับโรคนี้
ดร.ซิยาด อัล-อาลี นักระบาดวิทยาทางคลินิกเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญนำเสนอข้อมูลลองโควิดต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐที่อาคารรัฐสภา สรุปว่า
มหาภัยลองโควิด รุนแรงกว่าโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ยังไม่มียารักษา วิธีการป้องกันไม่ติดเชื้อโควิด-19 บ่อยครั้ง คือ หนทางเดียวที่ป้องกันการเกิดโรคลองโควิด "จะไม่เกิดลองโควิด หากไม่ติดเชื้อโควิด-19"
ในการนำเสนอครั้งนี้มีทั้งผู้ป่วยลองโควิด แพทย์แนวหน้าและนักวิจัยจำนวนมากเข้าร่วมให้ความรู้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และทำความเข้าใจกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับโรคลองโควิดแก่บรรดาสมาชิกรัฐสภาและประชาชนสหรัฐไปพร้อมกัน
การศึกษาล่าสุดพบว่า อาการลองโควิดทำให้เกิดภาระโรคภัยที่สูงกว่าโรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง โดยมีการวิเคราะห์พบว่า ลองโควิด สร้างภาระของความพิการมากกว่าโรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง
นักวิจัยพบว่า ภาวะลองโควิดส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพเกิน 80 ปีที่เทียบกับคุณภาพชีวิตหรือ DALYs ต่อกลุ่มประชากร 1,000 คนที่ไม่เคยเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อในครั้งแรก
นอกจากนี้ยังมีการประเมินว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะสูญเสียสุขภาพไป 21% ในขณะที่มีอาการลองโควิด การศึกษายังพบว่า ผู้ที่เป็นลองโควิดอาจมีความพิการทางกายและจิตใจอย่างรุนแรง
ขณะนี้มีชาวอเมริกันเป็นลองโควิดแล้วกว่า 20 ล้านคน และกว่า 4 ล้านคนที่ไม่สามารถทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่หน้าได้ ดังนั้น ลองโควิดจึงมีผลกระทบที่สำคัญต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และภาครัฐต้องให้ความสนใจอย่างมาก
วิธีป้องกันลองโควิดที่ดีที่สุด คือ ป้องกันการติดเชื้อโควิดตั้งแต่แรก เพราะยังไม่มียารักษา "ไม่มีใครเป็นลองโควิดหากไม่ติดเชื้อโควิด-19"
ชื่ออย่างเป็นทางการของภาวะลองโควิดในสหรัฐอเมริกา คือ "ภาวะหลังโควิด" (Post-COVID Conditions; PCC) ตามที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) โดยมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น long-haul COVID, post-acute COVID-19, long-term effects of COVID, Chronic COVID และ post-acute sequelae of SARS-CoV-2 infection; PASC) เป็นต้น
เป็นสภาวะที่ซับซ้อน มีผลกระทบต่อหลายอวัยวะและนำไปสู่อาการทางระบบประสาทและการรับรู้ เช่น ความจำเสื่อม และความบกพร่องทางสติปัญญา นอกจากนี้ยังอาจกระตุ้นปัญหาสุขภาพอื่น เช่น เบาหวานหรือโรคไต โดยรวมแล้ว ลองโควิดเป็นสภาวะที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ.
ภาวะลองโควิดทำให้ร่างกายอ่อนแอลงหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) พบมากกว่า 10% ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 และพบมากกว่า 200 อาการ ส่งผลต่ออวัยวะหลายระบบ ทั่วโลกมีผู้ป่วยอาการลองโควิดประมาณ 65 ล้านคนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ทบทวนวรรณกรรม ค้นคว้า รวบรวม ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ และนำมาประมวลเรียบเรียงเป็น 16 หัวข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับภาวะลองโควิด
อาการลองโควิดหรือที่รู้จักกันในชื่อ ผลระยะยาวของโควิด-19 (post-acute sequelae of COVID-19: PASC) มีลักษณะอาการที่หลากหลายซึ่งคงอยู่หลังจากการติดเชื้อโควิด-19 อย่างเฉียบพลันซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายระบบ
ลองโควิดส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างน้อย 65 ล้านคนทั่วโลก จากการบันทึกข้อมูลทางคลินิกที่ถูกบันทึกไว้จากผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 651 ล้านคน พบอัตราการอุบัติการณ์โดยประมาณที่ 10% ซึ่งส่งผลกระทบด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
กลุ่มอาการลองโควิดพบมากในช่วงอายุระหว่าง 36 - 50 ปี เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างรวมกันอันรวมถึงอัตราการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น ความรับผิดชอบในการประกอบอาชีพ กิจกรรมทางสังคม และลักษณะการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับอายุบางประการ
พบว่า 10-30% ของผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในโรงพยาบาล และ 50-70% ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะมีอาการป่วยเป็นลองโควิด
กลุ่มคนที่พบอาการลองโควิดมีรายงานอาการที่หลากหลายในระบบอวัยวะต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทำให้การดูแลรักษามีความซับซ้อน
อาการลองโควิดมีความเชื่อมโยงกับสภาวะอาการที่พบใหม่หลายอาการ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคเบาหวานประเภท 2 และภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonimia) โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงระบบที่กว้างขวาง
มีการพูดคุยถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ต่าง ๆ เช่น รังโรคของไวรัส การควบคุมภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ และการเปลี่ยนแปลงของจำนวนและชนิดของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ซับซ้อนที่มีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการลองโควิด
การศึกษาวิจัยเชิงลึกเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการตอบสนองทั้งทางภูมิคุ้มกันและไวรัสวิทยา รวมถึงความอ่อนล้าของทีเซลล์ ระดับไซโตไคน์ที่เพิ่มขึ้นและการเกิดขึ้นของแอนติบอดีต่อร่างกายตนเอง แสดงให้เห็นผลกระทบที่ซับซ้อนและยาวนานต่อระบบภูมิคุ้มกัน
นอกจากนี้การค้นพบทางไวรัสวิทยายังเน้นย้ำถึงบทบาทของการติดเชื้อแฝงอยู่ในร่างกาย (viral persistence) และกลายพันธุ์ของไวรัสที่ส่งผลต่อพยาธิวิทยาการเกิดอาการลองโควิด
อาการลองโควิดนำไปสู่ความเสียหายของอวัยวะในวงกว้าง รวมถึงหัวใจ ปอด และสมอง เกิดปัญหาต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การเกิดลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่ทำให้เกิดปัญหาซับซ้อนในระบบโลหิตของร่างกาย
อาการลองโควิดส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการรับรู้ โดยแสดงออกมาในรูปแบบของการสูญเสียความทรงจำ ความบกพร่องทางสติปัญญา และการรบกวนทางประสาทสัมผัส ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตประจำวัน
สังเกตพบความคล้ายคลึงกันระหว่างอาการปวดกล้ามเนื้ออันมีสาเหตุมาจากสมองและไขสันหลังอักเสบ (myalgic encephalomyelitis, ME) และอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome, CFS), ภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonimia) กับอาการลองโควิด เช่น กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วระหว่างเปลี่ยนท่า (Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome: POTS) หรือกลุ่มอาการการกระตุ้นเซลล์แมสต์ (mast cell activation syndrome) อันเป็นภาวะที่เซลล์แมสต์ปล่อยสารเคมีมากเกินไป ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ มากมาย รวมถึงอาการแพ้ต่าง ๆ
เซลล์เหล่านี้สามารถถูกกระตุ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น การติดเชื้อ ยา ความเครียด และอาหาร ทำให้มีความจำเป็นในการวินิจฉัยโรคที่ควรครอบคลุมประวัติทางคลินิก การตรวจร่างกาย และการทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยเฉพาะ โดยทั่วไปการรักษาจะใช้ยา เช่น ยาแก้แพ้และยาเพิ่มความเสถียรของเซลล์แมสต์
ลองโควิดส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ ส่งผลให้ประจำเดือนเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อการทำงานของรังไข่และลูกอัณฑะ บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการวิจัยและการดูแลเฉพาะทาง
เด็กได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากอาการลองโควิดโดยมีอาการและความเสี่ยงด้านสุขภาพที่รุนแรงคล้ายผู้ใหญ่ กระตุ้นให้มีการวิจัยแบบกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์การดูแลสุขภาพสำหรับกลุ่มเปราะบางนี้
การเริ่มมีอาการ(onset):
ระยะเวลาการดำเนินของโรค (duration):
การลุกลาม(progression) :
การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยและกลยุทธ์การรักษาเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาที่ได้รับการตรวจสอบ มีประสิทธิผล และเครื่องมือวินิจฉัยที่ครอบคลุม
การวิเคราะห์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับผลกระทบของวัคซีน, SARS-CoV-2 สายพันธุ์ต่าง ๆ และการติดเชื้อซ้ำต่ออุบัติการณ์และการลุกลามของอาการลองโควิด อาทิ
-หลายการศึกษาแนะนำว่า วัคซีนให้การป้องกันอาการลองโควิดได้ในระดับหนึ่ง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการลองโควิดได้ 15% ถึง 41% แม้จะป้องกันอาการลองโควิดได้บางส่วน แต่เรายังพบลองโควิดส่งผลกระทบต่อผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ถึง 9%
-สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ตั้งข้อสังเกตว่า โรคลองโควิดนั้น แพร่หลายน้อยกว่า 50% ในผู้ที่ฉีดวัคซีนสองครั้งและต่อมาติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ ดั้งเดิม BA.1 (breakthrough infection) เมื่อเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า อย่างไรก็ตาม ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนสามครั้ง
-พบอาการลองโควิดในผู้ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 มากกว่า BA.1 โดยทั้งหมดได้รับการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม ผู้ติดเชื้อโอมิครอน BA.2 พัฒนาเป็นลองโควิดถึง 9.3% เป็นต้น
ภาครัฐและเอกชนทั่วโลกต้องร่วมสนับสนุนการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยทางคลินิกอย่างเข้มแข็งเพื่อจัดการกับปัญหาด้านสาธารณสุขที่กำลังเกิดขึ้นนี้จากปัญหาลองโควิด
ข้อมูล/ภาพ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ Center for Medical Genomics