วันนี้ (25 ตุลาคม 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2566 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ 2 เรื่อง
1.ร่างประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง การเพิ่มเติมผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐในคณะทำงานประจำช่องทางเข้าออก พ.ศ. .... สำหรับด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ 2 แห่ง เพื่อให้มีอำนาจหน้าที่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
2.ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย พ.ศ. .... ตามที่ที่ประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญวัณโรคดื้อยาระดับประเทศเห็นชอบ โดยปรับอาการสำคัญของวัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตรายลำดับที่ 13 ใน พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ว่า
"กรณีวัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก" ซึ่งเป็นวัณโรคที่มีการดื้อยาหลายขนานร่วมกัน ได้แก่ ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) อาจจะดื้อต่อไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ด้วยหรือไม่ก็ได้ และดื้อต่อกลุ่มยาฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones) ได้แก่
มีอาการไอเรื้อรังหรือไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย มีไข้ เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หรือมีอาการตามอวัยวะที่ติดเชื้อ สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการ ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
พร้อมเน้นย้ำในที่ประชุมว่า แม้อุบัติการณ์วัณโรคจะลดลงจากในอดีตมากแล้วแต่ยังไม่บรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่กำหนดให้ยุติวัณโรค ภายในปี 2573 ซึ่งถ้าเราบริหารจัดการวัณโรคที่ยังพบผู้ป่วยปีละประมาณ 1 แสนรายได้โดยร่วมมือกันอย่างจริงจังต่อเนื่องจะแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของทุกคนในประเทศไทย
การปรับอาการสำคัญของวัณโรคดื้อยาหลายขนาดชนิดรุนแรงมาก จะเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัย รักษา และควบคุมโรค ทำให้สูตรยารักษาถูกกำหนดโดยผู้เชี่ยวชาญวัณโรคดื้อยา สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกและผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้าในการเสนอร่าง พ.ร.บ.โรคติดต่อ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านกฎหมาย หากมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอย่างรวดเร็วและกว้างขวางและเป็นหรืออาจเป็นอันตรายต่อชีวิต สุขภาพ หรือการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง
เนื่องจากในสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมา พบว่า มาตรการทางกฎหมายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ยังไม่เพียงพอต่อการป้องกันควบคุมโรคทั้งโรคติดต่อที่อุบัติใหม่และอุบัติซ้ำได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีและดำเนินการตามกระบวนการนิติบัญญัติต่อไป
นอกจากนี้ยังติดตามเรื่องการเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ตามนโยบายเร่งรัด 100 วัน โดยเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมามีการลงนามประกาศความร่วมมือขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรุงเทพมหานคร สภากาชาดไทย
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยจะรณรงค์ฉีดวัคซีน HPV ให้แก่นักเรียนหญิงชั้น ป.5 - อุดมศึกษาปีที่ 2 รวมถึงผู้หญิง อายุ 11 - 20 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษา แบ่งเป็น
การจัดสรรและจัดส่งวัคซีน แบ่งเป็น วัคซีนจาก สปสช. ให้บริการกลุ่มเป้าหมายตามสิทธิประโยชน์ ชั้น ป.5 ม.1-2 เป็นวัคซีน 2 สายพันธุ์ (Cecolin) และ 4 สายพันธุ์ (Gardasil) จำนวน 784,368 โดส ทยอยจัดส่งถึงพื้นที่ตุลาคม - ธันวาคม 2566 และวัคซีนจากกรมควบคุมโรค ซึ่งเป็นวัคซีนบริจาคจากสภากาชาดไทย 400,000 โดส และวัคซีนสำรองส่วนกลาง 200,000 โดส ให้บริการเก็บตกในกลุ่มเป้าหมายตามสิทธิประโยชน์ที่วัคซีน สปสช.ไม่เพียงพอ และกลุ่มนอกสิทธิประโยชน์ อายุ 18-20 ปี เริ่มจัดส่งเดือนตุลาคม 2566 และยังมีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในระยะแรก สำหรับผู้หญิง อายุ 30-60 ปี
ทั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในนโยบายมะเร็งครบวงจร ภายใต้กรอบแนวคิด "รู้เท่าทัน ป้องกันได้ ตรวจพบรักษาไว ปลอดภัยจากมะเร็ง" และสอดคล้องกับสโลแกน "สวย เริด เชิด สู้มะเร็ง" หรือ Women Power No Cancer นพ.ชลน่าน กล่าวทิ้งท้าย