คกก.โรคติดต่อ ปรับอาการ "วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก"

25 ต.ค. 2566 | 15:15 น.

คกก.โรคติดต่อ ไฟเขียวร่างประกาศชื่อและอาการโรคติดต่ออันตราย ปรับอาการใหม่ของ "วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก" ให้สอดคล้องกับคำแนะนำของ WHO พร้อมรับทราบความพร้อมฉีดวัคซีน HPV 1 ล้านโดส ใน 100 วัน เตรียมคิกออฟ 8 พ.ย. นี้

วันนี้ (25 ตุลาคม 2566) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2566 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ 2 เรื่อง

1.ร่างประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง การเพิ่มเติมผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐในคณะทำงานประจำช่องทางเข้าออก พ.ศ. .... สำหรับด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ 2 แห่ง เพื่อให้มีอำนาจหน้าที่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่

  • ด่านท่าเรือตำมะลัง จ.สตูล
  • ด่านพรมแดนวังประจัน จ.สตูล

2.ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย พ.ศ. .... ตามที่ที่ประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญวัณโรคดื้อยาระดับประเทศเห็นชอบ โดยปรับอาการสำคัญของวัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตรายลำดับที่ 13 ใน พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ว่า 

"กรณีวัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก" ซึ่งเป็นวัณโรคที่มีการดื้อยาหลายขนานร่วมกัน ได้แก่ ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) อาจจะดื้อต่อไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ด้วยหรือไม่ก็ได้ และดื้อต่อกลุ่มยาฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones) ได้แก่

  • ลีโวฟล็อกซาซิน (Levofloxacin)
  • ม็อกซิฟล็อกซาซิน (Moxifloxacin) อย่างน้อยหนึ่งขนานและดื้อต่อยา
  • เบดาควิลีน (Bedaquiline) หรือไลเนโซลิด (Linezolid) อย่างน้อยหนึ่งขนาน

มีอาการไอเรื้อรังหรือไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย มีไข้ เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หรือมีอาการตามอวัยวะที่ติดเชื้อ สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการ ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

คกก.โรคติดต่อ ปรับอาการ \"วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก\"

พร้อมเน้นย้ำในที่ประชุมว่า แม้อุบัติการณ์วัณโรคจะลดลงจากในอดีตมากแล้วแต่ยังไม่บรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่กำหนดให้ยุติวัณโรค ภายในปี 2573 ซึ่งถ้าเราบริหารจัดการวัณโรคที่ยังพบผู้ป่วยปีละประมาณ 1 แสนรายได้โดยร่วมมือกันอย่างจริงจังต่อเนื่องจะแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของทุกคนในประเทศไทย

การปรับอาการสำคัญของวัณโรคดื้อยาหลายขนาดชนิดรุนแรงมาก จะเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัย รักษา และควบคุมโรค ทำให้สูตรยารักษาถูกกำหนดโดยผู้เชี่ยวชาญวัณโรคดื้อยา สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกและผู้เชี่ยวชาญ 

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้าในการเสนอร่าง พ.ร.บ.โรคติดต่อ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านกฎหมาย หากมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอย่างรวดเร็วและกว้างขวางและเป็นหรืออาจเป็นอันตรายต่อชีวิต สุขภาพ หรือการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง

เนื่องจากในสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมา พบว่า มาตรการทางกฎหมายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ยังไม่เพียงพอต่อการป้องกันควบคุมโรคทั้งโรคติดต่อที่อุบัติใหม่และอุบัติซ้ำได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีและดำเนินการตามกระบวนการนิติบัญญัติต่อไป

คกก.โรคติดต่อ ปรับอาการ \"วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก\"

นอกจากนี้ยังติดตามเรื่องการเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ตามนโยบายเร่งรัด 100 วัน โดยเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมามีการลงนามประกาศความร่วมมือขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรุงเทพมหานคร สภากาชาดไทย

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยจะรณรงค์ฉีดวัคซีน HPV ให้แก่นักเรียนหญิงชั้น ป.5 - อุดมศึกษาปีที่ 2 รวมถึงผู้หญิง อายุ 11 - 20 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษา แบ่งเป็น

  • การฉีดวัคซีนนักเรียน (School based) วันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2566 จะคิกออฟวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ ที่โรงเรียนไทรน้อย จ.นนทบุรี
  • ทุกเขตสุขภาพอย่างน้อยเขตสุขภาพละ 1 แห่ง
  • ฉีดกลุ่มอายุ 18 - 20 ปี ช่วงธันวาคม 2566 - มกราคม 2567

การจัดสรรและจัดส่งวัคซีน แบ่งเป็น วัคซีนจาก สปสช. ให้บริการกลุ่มเป้าหมายตามสิทธิประโยชน์ ชั้น ป.5 ม.1-2 เป็นวัคซีน 2 สายพันธุ์ (Cecolin) และ 4 สายพันธุ์ (Gardasil) จำนวน 784,368 โดส ทยอยจัดส่งถึงพื้นที่ตุลาคม - ธันวาคม 2566 และวัคซีนจากกรมควบคุมโรค ซึ่งเป็นวัคซีนบริจาคจากสภากาชาดไทย 400,000 โดส และวัคซีนสำรองส่วนกลาง 200,000 โดส ให้บริการเก็บตกในกลุ่มเป้าหมายตามสิทธิประโยชน์ที่วัคซีน สปสช.ไม่เพียงพอ และกลุ่มนอกสิทธิประโยชน์ อายุ 18-20 ปี เริ่มจัดส่งเดือนตุลาคม 2566 และยังมีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในระยะแรก สำหรับผู้หญิง อายุ 30-60 ปี

ทั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในนโยบายมะเร็งครบวงจร ภายใต้กรอบแนวคิด "รู้เท่าทัน ป้องกันได้ ตรวจพบรักษาไว ปลอดภัยจากมะเร็ง" และสอดคล้องกับสโลแกน "สวย เริด เชิด สู้มะเร็ง" หรือ Women Power No Cancer นพ.ชลน่าน กล่าวทิ้งท้าย