Long COVID (ลองโควิด) ถือเป็นปัญหาที่สำคัญหลังจากที่มีการติดเชื้อโควิด-19 เพราะถึงแม้ว่าจะหายป่วย แต่ผลกระทบที่ตามมาหลังจากนั้นก็ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)" โดยมีข้อความ
การป้องกัน Long COVID
ปัจจุบันมีเพียง 3 วิธีหลัก ได้แก่
การหมั่นอัพเดตสถานการณ์ และความรู้ที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ
ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ลดละเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง สถานที่แออัด ระบายอากาศไม่ดี
ที่สำคัญที่สุดคือ การใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ระหว่างดำรงชีวิตประจำวัน ทำงาน เรียน หรือท่องเที่ยว จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก
อัพเดตผลของ Long COVID กับการทำงาน
Trujillo KL และคณะ จากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิเคราะห์ผลการสำรวจประชากรกว่า 15,000 คน อายุ 18-69 ปี ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2564 ถึงกรกฎาคม 2565 เผยแพร่ใน medRxiv วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565
สาระสำคัญพบว่า กลุ่มประชากรที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 และเกิดอาการผิดปกติ Long COVID นั่น เกือบครึ่งหนึ่ง (45.9%) มีปัญหาด้านความคิดความจำ (brain fog, impaired memory)
ทั้งนี้ วิเคราะห์พบว่า การเกิดปัญหา Long COVID นั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกงาน/ไม่มีงานทำ 44%, และเพิ่มความเสี่ยงต่อการไม่สามารถทำงานเต็มเวลา (full-time work) 27%
นอกจากนี้ การที่มีปัญหาด้านความคิดความจำ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการไม่สามารถทำงานเต็มเวลา 29%
ผลการวิจัยนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา Long COVID กับการทำมาหากิน/การทำงาน และช่วยให้เราเห็นถึงความสำคัญของการป้องกัน เพราะการติดเชื้อไม่ได้จบแค่ชิลๆ หาย ป่วย หรือตาย แต่ยังทำให้เกิดความเสี่ยงต่ออาการผิดปกติระยะยาวตามมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สมรรถนะในการดำเนินชีวิตประจำวัน และการทำงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามมา
19 พฤศจิกายน 2565...
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 266,736 คน ตายเพิ่ม 627 คน รวมแล้วติดไป 642,435,193 คน เสียชีวิตรวม 6,623,352 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส ไต้หวัน และออสเตรเลีย
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 7 ใน 10 อันดับแรก และ 17 ใน 20 อันดับแรกของโลก
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็น 89.67% ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็น 82.61%
การระบาดในอเมริกา
ล่าสุดข้อมูลจาก US CDC ชี้ให้เห็นว่า สายพันธุ์ย่อยที่ครองการระบาดมากที่สุดคือ BQ.1.x ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงถึง 49.7% ในขณะที่ BA.5 นั้นเหลือเพียง 24%
นอกจากนั้นยังมีอีกหลายสายพันธุ์ที่ตรวจพบในสัดส่วนรองๆ ลงมา เช่น BF.7, BN.1, BA.4.6