ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha)โดยมีข้อความว่า
เครียดสะสมเสี่ยงสูงต่ออัมพฤกษ์
เราพูดกันมาแต่โบราณว่าอย่าเครียดจะไม่ดีต่อสุขภาพ จนกระทั่งเริ่มมีหลักฐานชัดๆ เช่น รายงานในวารสารของโรคสมองและระบบประสาท (JNNP) ตั้งแต่ปี 2555
ลงบทรายงานตอกย้ำผลสะสมของความเครียด โดยศึกษาผู้ป่วยที่มีอัมพฤกษ์เส้นเลือดผิดปกติซึ่ง 90% เป็นตัน
ที่เหลือเป็นแตก ทั้งหมดเป็นจำนวน 150 ราย อายุ 18-65 ปี
และเทียบกับเพื่อนบ้านละแวกเดียวกันที่มีอายุใกล้เคียง และประเมินลักษณะของสถานะทางสังคม สุขภาพและโรคประจำตัว
ตลอดจนดัชนีวัดความเครียด ลักษณะของพฤติกรรม ปฏิกิริยาตอบโต้กับความเครียด นิสัย การใช้ชีวิต
ซึ่งรวมถึงการบริโภคอาหารชนิดต่างๆ ของหวาน ปริมาณการสูบบุหรี่ สุรา ภาวะสุขภาพของร่างกาย หัวใจและการเต้นของหัวใจ เป็นต้น
ผลที่ได้เมื่อตัดตัวแปรต่างๆออก พบว่า พฤติกรรมนิสัยชอบเครียด
ลักษณะของการเป็นคนชนิด A ทะเยอทะยาน เจ้าระเบียบ จู้จี้จุกจิก จัดแบ่งตารางชีวิตเวลาเป็นระบบ
หรือเรียกง่ายๆว่า “บ้างาน” (workaholic) หงุดหงิดง่ายๆเมื่อไม่ได้ดังใจ สติแตกเมื่อไม่สมประสงค์
มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเส้นเลือดสมอง และเป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ลักษณะดังกล่าวต่างกับชนิด B แบบฟ้ากับเหว โดยที่ B จะเรื่อยเฉื่อย ทำงานสำเร็จก็ดีใจ ไม่สำเร็จก็ไม่ว่า ไม่ตีโพยตีพาย แต่งานการไม่ประสงค์ก้าวหน้า
การเป็นคนชนิด A ดำรงชีวิตเร่งรีบ แข่งกับเวลามีสิทธิตายอนาถสูงขึ้น
นอกจากการที่เป็นคนชนิด A แล้ว ภาวะของสภาวะแวดล้อมซึ่งก่อให้เกิดความบีบคั้นทางอารมณ์และจิตใจ
ก็ยังคงเป็นปัจจัยหลักด้วยที่ทำให้เกิดความเครียดสูง และตามด้วยการเกิดโรค
และหลังจากรายงานนี้มีการศึกษาทยอยตามกันมา จนเป็นที่ยอมรับว่าความเครียดเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ได้