17 มีนาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดตัวและประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนโครงการคนไทย 7.2 ล้านคน รู้ค่าความเสี่ยงโรคไต ภายใต้โครงการป้องกันโรคไต อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยกล่าวว่า โครงการฯ นี้ เป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุขและภาคีเครือข่ายเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 72 พรรษาในปี พ.ศ.2570
โดยมีเป้าหมายให้คนไทย 7.2 ล้านคน ได้รับการตรวจคัดกรองความเสี่ยงและวินิจฉัยโรคไตตั้งแต่ระยะเริ่มต้นอย่างทั่วถึงด้วย 4 มาตรการหลัก ได้แก่
1. ส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพ ด้วยการพัฒนาสื่อ เครื่องมือ และนวัตกรรมในการเผยแพร่ความรู้ที่ช่วยป้องกันโรคไตเรื้อรัง
2. พัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนและจัดการปัจจัยสภาพแวดล้อม พร้อมทั้งพัฒนากลไกนโยบายสาธารณะและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3. เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการคัดกรองโรคไตเรื้อรังในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง รวมถึงพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ และ อสม.
4. เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการข้อมูลและนวัตกรรมชะลอการเกิดโรคไต
"ขอเชิญชวนประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และผู้สูงอายุ ตรวจคัดกรองโรคไต ที่โรงพยาบาลหรือสถานบริการใกล้บ้าน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ดังคำขวัญวันไตโลกปีนี้ที่ว่า หมั่นดูแลไต ใส่ใจคัดกรอง ป้องกันโรคไต ซึ่งจะช่วยป้องกันและชะลอการเกิดภาวะไตเสื่อม ลดความเสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรัง และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในระยะยาวได้" นายสมศักดิ์ กล่าว
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคไตเรื้อรัง เป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ข้อมูลล่าสุดปี 2567 พบผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังถึง 1.12 ล้านคน เป็นผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 3 จำนวน 5 แสนคน ระยะที่ 4 กว่า 1.2 แสนคน และระยะที่ 5 อีก 7.5 หมื่นคน ค่าใช้จ่ายในการบำบัดทดแทนไตสูงกว่างบประมาณที่ตั้งไว้และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
ปี 2567 คาดการณ์การใช้จ่ายอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านภาระทางการคลังของภาครัฐในการจัดบริการดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขจึงร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนแผนทศวรรษการป้องกันและชะลอไตเสื่อม ปี พ.ศ. 2565 – 2574 เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดโรคไตเรื้อรังรายใหม่ระยะ 3 ขึ้นไป และลดอุบัติการณ์การเกิดโรคไตระยะสุดท้าย
ปีที่ผ่านมามูลนิธิไรคไตแห่งประเทศไทย ได้นำความกราบบังคมทูล สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงทราบฝ่าละอองพระบาท และได้พระราชทานพระราชานุญาตให้เป็นโครงการภายใต้ "โครงการป้องกันโรคไต อันเนื่องมาจากพระราชดำริ"
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า บอร์ด สปสช. มีมติให้ "ผู้มีสิทธิบัตรทองเลือกฟอกไตในแบบที่ใช่" เพื่อเปิดทางเลือกให้ผู้ป่วยที่ไม่ประสงค์ล้างไตทางหน้าท้องแต่ต้องการบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีการฟอกเลือด สามารถตัดสินใจเลือกวิธีการล้างไตร่วมกับแพทย์ได้ เป็นการเคารพสิทธิการตัดสินใจของผู้ป่วย และลดภาระค่ารักษาให้กับผู้ป่วยและครอบครัว
ปัจจุบันระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายทั้งที่ล้างไตผ่านช่องท้อง ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่รับเฉพาะยา EPO ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังเพิ่มขึ้น สปสช. จึงต้องจัดสรรงบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังฯ เข้าถึงการรักษาอย่างครอบคลุมและทั่วถึง
ศ.คลินิก นพ.สุพัฒน์ วาณิชย์การ เลขาธิการมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน ผู้ป่วยไตวายแทรกซ้อนจากโรคระบาดมีจำนวนลดลง แต่ผู้ป่วยไตวายจากสาเหตุอื่นมีจำนวนเพิ่มขึ้น และมีผู้ป่วยที่ต้องการรักษาด้วยเครื่องไตเทียมจำนวนมากแต่พยาบาลที่ชำนาญการใช้เครื่องไตเทียมมีไม่เพียงพอ จึงต้องมีการฝึกอบรมพยาบาลไตเทียมเพิ่มเพื่อที่จะให้บริการผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึง ร่วมกับการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องอาหารและโภชนาการ ตลอดจนวิธีปฏิบัติตนให้ปลอดจากโรคไต ซึ่งจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยโรคไตได้อีกทางหนึ่ง
นายแพทย์ชาตรี บานชื่น ประธานฝ่ายป้องกัน สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ กล่าวว่า ปีนี้สถาบันฯ ได้ร่วมกับกรมควบคุมโรค ดำเนินงานเชิงรุกเพื่อป้องกันโรคไตในชุมชน พัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนและการจัดการปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรังภายใต้ CKD โมเดลในชุมชน
ใช้กลไกความร่วมมือของ พชอ. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนต่าง ในการจัดการป้องกันโรคไตเรื้อรัง เน้นการจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เป็นความเสี่ยงร่วมของโรคเรื้อรังทั้งหลาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการดำเนินงาน "ทศวรรษการป้องกันและชะลอไตเสื่อม"
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพไต คือ การใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องโดยเฉพาะยากลุ่มแก้อักเสบ (NSAIDs) เช่น ยาแก้ปวดข้อ ยาไมเกรน และยาแก้ปวดประจำเดือน ซึ่งหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่มีการตรวจติดตามอาจทำให้ไตเสื่อมและไตวายได้
รวมถึงการใช้ยาชุด ยาแก้ปวด และยาสมุนไพรบางชนิดก็อาจเป็นอันตรายต่อการทำงานของไตเช่นกันซึ่งเราสามารถช่วยกันผลักดันการลดโซเดียมและสร้างสุขภาพไตที่ดีให้กับประชาชนได้ผ่านพฤติกรรมของเราเอง รวมถึงการสนับสนุนมาตรการของภาครัฐ