ภาพรวมธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนคึกคักตั้งแต่ต้นปี 2568 จากการรุกทำตลาดของผู้ให้บริการเอง รวมไปถึงการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) เติบโตตามไปด้วย บรรยากาศโดยรวมจึงคึกคักต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ปิดตัวเลขผลประกอบการในปี 2567 พบว่า กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนต่างมีผลประกอบการเติบโตทั้งรายได้และกำไรถ้วนหน้า
โดยบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงผลการดำเนินงานปี 2567 พบว่า มีรายได้รวม 109,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่ารักษาพยาบาล 7% โดยเติบโตที่ดีจากรายได้ผู้ป่วยชาวไทย 5% และรายได้ผู้ป่วยชาวต่างชาติ 11% มีกำไร 15,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.35% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีกำไร 14,357.74 ล้านบาท สาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยและความซับซ้อนของโรคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการบริหารการเงินที่มีประสิทธิภาพ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ
ทั้งนี้ บริษัทมีกลยุทธ์ในการดำเนินกิจการปี 2568 ด้วยการที่ BDMS มีโรงพยาบาลเครือข่ายที่ครอบคลุมผู้ป่วยในหลายระดับ มีแพทย์และพยาบาลที่มีความสามารถ ภายใต้แบรนด์ที่หลากหลาย ประกอบกับการยกระดับการบริการผ่านนวัตกรรมต่างๆ เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืน รองรับความต้องการการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ในปี 2568 บริษัทมีแผนรุกธุรกิจใน 5 ด้าน ได้แก่ 1. การขยายการบริการด้านสุขภาพ 2. ความเป็นเลิศด้านการรักษาพยาบาล 3. มุ่งเน้นผลการดำเนินงานที่ดี และการบริการทางการแพทย์อย่างยั่งยืน 4. การขยายฐานลูกค้าประกันสุขภาพ บริษัทร่วมมือกับบริษัทประกันทั้งในและต่างประเทศ และ 5. ขยายธุรกิจสนับสนุน (Non-Hospital Business) BDMS มีธุรกิจสนับสนุนอื่นๆ อาทิ ศูนย์บริการตรวจ วิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์ยา เป็นต้น
ด้านผลการดําเนินงานของบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH และโรงพยาบาลในเครือใน ปี 2567 มีรายได้รวม 11,832 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,282 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2566 ที่มีรายได้รวมประมาณ 11,829 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,406 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการให้บริการผู้ป่วยนอก ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งเพิ่มขึ้น 9.9% ในส่วนของรายได้จากผู้ป่วยในลดลง 11.3% ส่วนใหญ่มีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การส่งผู้ป่วยออกไปรักษานอกประเทศของรัฐบำลคูเวต และรายได้จากผู้ป่วยในโครงการประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.0% เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากการบันทึกรายการปรับปรุงของค่าบริการกลุ่มผู้ป่วยโรคซับซ้อน (RW>2) กระทบรายได้รวมให้ลดลง
ในปี 2568 บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถการให้บริการทางการแพทธ์กับผู้ป่วยกลุ่มเดิมทุกระดับ พร้อมทั้งการขยายฐานผู้ป้ายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติผ่านการเพิ่ม ศักยภาพการให้บริการศูนย์การแพทย์ในโรงพยาบาลทุกแห่ง ประกอบกับการให้บริการใหม่และโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งที่เปิดให้บริการในช่วงที่ผ่านมา จะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2568 นี้ ส่วนการปรับปรุงโรงพยาบาลหลายแห่งจะดำเนินแล้วเสร็จในปี 2568 พร้อมกับการยกระดับโรงพยาบาบาลการุญเวช ปทุมธานี เป็นโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของจำนวนรายได้ของบริษัทต่อไป
ส่วนบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ระบุว่า ผลประกอบการปี 2567 มีรายได้รวม 25,862 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 เป็นผลจากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยที่เพิ่มขึ้น และมีกำไรสุทธิ 7,775 ล้านบาท เติบโตขึ้นราว 11% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้รวม 25,575 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 22.3% มีกำไรสุทธิ 7,006 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 41.9% จากการฟื้นตัวของจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่หนาแน่นขึ้น
ในปี 2567 กลุ่มผู้ป่วยชาวไทยของ BH เพิ่มขึ้นประมาณ 4.8% ขณะที่สัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติ 65.7% ด้านต้นทุนกิจการโรงพยาบาล (รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) 12,503 ล้านบาท ลดลง 3% จาก 12,895 ล้านบาท โดย BH ได้ประกาศจ่ายปันผลเป็นเงินสด 3.00 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้จะเห็นว่า โรงพยาบาลขนาดใหญ่ล้วนมีรายได้และกำไรเติบโตถ้วนหน้า
ขณะที่ นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC กล่าวว่า PRINC มีรายได้รวม 5,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.24% ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาลและธุรกิจเฮลท์แคร์ โดยผ่านการพัฒนา 4 แนวทางหลัก ได้แก่ การขยายการลงทุน การนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การเพิ่มศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์ และการดำเนินธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน (ESG)
ส่วนปี 2567 มีกำไรสุทธิ 351.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้รวม 5,640 ล้านบาท เติบโตขึ้น 36.1% จากผลการดำเนินงานที่เติบโตจากทุกโรงพยาบาล เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 รายได้รวม 5,640 ล้านบาท จากการเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาลในทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งในส่วนกลุ่มเบิกสิทธิบริษัทประกันภัย กลุ่มลูกค้าจ่ายชำระด้วยตัวเอง กลุ่มลูกค้าองค์กร กลุ่มโครงการสวัสดิการภาครัฐตามลำดับ
ขณะที่ นายสุริยันต์ โคจรโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SKR กล่าวว่า ปี 2567 โรงพยาบาลมีรายได้จากการรักษาพยาบาลอยู่ที่ 6,092 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.08% มีกำไรสุทธิ 664 ล้านบาท ขณะที่ปี 2566 รายได้รวม 5,852 ล้านบาท เติบโต 2.46% มีกำไรสุทธิ 891 ล้านบาท ในปี 2568 บริษัท เตรียมขยายศักยภาพทางการแพทย์ผ่านสถาบันการแพทย์เฉพาะทาง (Center of Excellence) ควบคู่ไปกับการพัฒนาบริการของลูกค้าประกันสังคมผ่าน SSO Plus รวมถึงการให้บริการโรงพยาบาลเคลื่อนที่ ผ่าน Sikarin Connect ในทั่วประเทศ เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นโรงพยาบาลชั้นนำด้านการรักษาโรคยากที่ซับซ้อนของประเทศไทย
อย่างไรก็ดี มีเพียงบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ที่พบว่ามีผลประกอบการขาดทุน โดยระบุว่า ปี 2567 มีรายได้รวมจำนวน 9,479 ล้านบาท ลดลง 3.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ โดยสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากกิจการโรงพยาบาล ซึ่งได้รับผลกระทบในช่วงไตรมาส 4/2567 จากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลหลัก โดยบริษัทรายงานกำไร (ขาดทุน) 1,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 551% โดยสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากกิจการโรงพยาบาล ซึ่งลดลงมากกว่าต้นทุนจากการขายเเละบริการบางประเภทที่มิได้ผันแปรตามการลดลงของรายได้ อาทิ ต้นทุนค่าบุคลากรทางการแพทย์ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายซึ่งแฝงอยู่ในต้นทุน ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการดําเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2568 ได้วางกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการขยายศักยภาพในธุรกิจให้บริการทางการแพทย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยการตอบสนองต่อความต้องการของผู้เข้ารับบริการที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สภาพแวดล้อมของการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชน โดยหนึ่งในกลยุทธ์สําคัญคือการขยายพื้นที่ให้บริการโรงพยาบาลธนบุรีและ โรงพยาบาลธนบุรี ทวีวัฒนา เพื่อตอบสนองการเติบโตของจํานวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการทางการแพทย์ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น