นโยบายการเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ "Medical & Wellness Hub" นับเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่จะนำมาช่วยขับเคลื่อนผลักดันเศรษฐกิจไทยในปี 2568 นี้
โดยล่าสุด (19 กุมภาพันธ์ 2568) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานการประชุมขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในฐานะกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) โดยเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนนั้น
คาดว่า ในปี 2568 จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ประมาณ 6.9 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็น 3.39 % ของ GDP ประกอบด้วย 7 นโยบายสำคัญ ดังนี้
1.การจัดตั้ง สำนักงานนโยบายและเศรษฐกิจสาธารณสุข (สนศส.) โดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการจัดตั้ง "สำนักงานเศรษฐกิจสุขภาพ" ว่า ภาพรวมสำนักงานนี้เป็นสำนักงานระดับกรม ทำหน้าที่ วิเคราะห์ วิจัย และกำหนดนโยบายด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพและการคลังสุขภาพ
นำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายบนพื้นฐานของข้อมูลที่แม่นยำเพื่อสร้างระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และยั่งยืน ที่สำคัญยังเป็นหน่วยงานหลักที่พร้อมจะส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การบริการ และการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
2.การยกระดับภูมิปัญญาไทย โดย นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อธิบายว่า การขับเคลื่อนที่สำคัญ คือ การยกระดับการนวดแผนไทย พร้อมพัฒนาไปสู่การนวดเชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ ได้แก่
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้พัฒนาอัปสกิลหมอนวดไทยในเรื่องของภาษาต่างประเทศเพื่อจะไปประกอบอาชีพนวดไทยในต่างประเทศซึ่งจะช่วยสร้างรายได้จากเดิมทำงานที่ไทยได้ราว 200-300 บาทต่อชั่วโมง เป็น 4,800 บาทต่อชั่วโมง
3.การยกระดับสมุนไพรไทย ยาไทยอาหารไทย นั้น สำหรับยาสมุนไพรนั้น ตามนโยบาย "เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทย ก่อนไป หาหมอ" จะผลักดันการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพ, เพิ่มรายการยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติทุกรายการ รวม 106 รายการ เบิกจ่ายจาก สปสช. แบบ Fee Schedule
พร้อมปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกที่เอื้อต่อการสั่งจ่ายยาของแพทย์ เพื่อส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพร 32 รายการ ในผู้ป่วย 10 กลุ่มอาการของโรคที่พบบ่อย ให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 พร้อมผลักดัน กระท่อม กัญชา กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน และไพล เข้าสู่ตลาดสมุนไพรระดับโลก เป็นต้น
ด้าน ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 5 ขยายความนโยบายที่ 4 เรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยระบุว่า Global Wellness Institute (GWI) ประมาณการมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ เมื่อปี 2566 อยู่ที่ 220.5 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ว่า จะเติบโตถึง 315 ล้านล้านบาท ในปี 2571 (เติบโตเฉลี่ย 7.3% ต่อปี) โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลกมีมูลค่า 1.42 ล้านล้านบาท
สำหรับแนวนโยบายในการขับเคลื่อนที่สำคัญ อาทิ การประชาสัมพันธ์เส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ เช่น สปา บ่อน้ำพุร้อน แหล่งน้ำแร่, การจับคู่โรงแรมกับโรงพยาบาลเพื่อให้บริการแพคเกจสุขภาพ, การพัฒนาระบบเอเจนซี่ขายแพ็กเกจสุขภาพ, การเพิ่มคลินิก Wellness, การแพทย์, การแพทย์แผนไทยในโรงแรม
รวมถึงการส่งเสริมเวชศาสตร์วิถีชีวิตซึ่งมีตัวอย่างโมเดลที่ได้เริ่มดำเนินการแล้ว คือ ภูเก็ต เวลเนส แซนบล็อค โมเดล Wellcation ของเขตสุขภาพที่ 5 และหาดใหญ่ เมดิเคิลฮับ
ขณะที่ นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถึงนโยบายที่ 5 การขับเคลื่อนการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ซึ่งมูลค่าตลาดโลกของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ เมื่อปี 2564 อยู่ที่ 8.4 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มเติบขึ้นเป็นกว่า 1.78 แสนล้านบาท ในปี 2569 โดยในปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดราว 2 แสนล้านบาท มูลค่านำเข้า 9 หมื่นล้านบาท มูลค่าการส่งออก 1.18 แสนล้านบาท
สำหรับเป้าหมายใน 3 ปีนี้จะลดการนำเข้าลง 5.6 พันล้านบาท อาทิ ถุงมือศัลยกรรม ฟิลเลอร์ เครื่องมือแพทย์ AI เป็นต้น พร้อมเพิ่มการส่งออก 5.5 หมื่นล้านบาท เช่น เลนส์แก้วตาเทียม ถุงมือทางการแพทย์ และชุดตรวจวินิจฉัย เป็นต้น
ด้านนพ.มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวง กล่าวถึงนโยบายที่ 6 ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูงว่า จากมูลค่าการตลาดผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ขั้นสูง หรือ Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs ในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2567 ตลาด ATMPs ของโลกมีมูลค่ากว่า 4.19 แสนล้านบาท คาดว่า ปี 2573 มูลค่าตลาดจะเติบโตถึง 1.25 ล้านล้านบาท พร้อมดำเนินโครงการ ATMPs แซนด์บอกซ์ โดยในปี 2568-2569 มีสถานพยาบาล 5 แห่งทดลองใช้
ทั้งนี้ ในวันเดียวกันได้มีการลงนามความร่วมมือในการวิจัยและใช้ ATMPs (Stem Cells) ในสถานพยาบาลทดลอง Sandbox ระหว่าง 6 หน่วยงานในกำกับของ สธ. กับ 3 คณะแพทย์มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาสงขลานครินทร์ โดยใน 1 เดือน ทุกกรมต้องทำแผนปฏิบัติการเสนอกรรมการจนได้ข้อสรุป ทุกสถานพยาบาลทดลองต้องหาพันธมิตร เอกชน และคณะแพทย์ในการทดลองและพัฒนาและใช้ ATMPs และขอความอนุเคราะห์ให้มหาวิทยาลัย ช่วยเสนอแนวทางการสนับสนุนวิชาการเรื่อง ATMPs
นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวถึงนโยบายที่ 7 การดูแลบุคคลและความงาม (Personal Care and Beauty) ว่า มุ่งเน้นใน 4 หมวด คือ 1.เวชศาสตร์ความงาม โดยมูลค่าตลาดเวชศาสตร์ความงามของโลก ในปี 2564 อยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท ของไทยอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 2.69% ของมูลค่าตลาดโลก ขณะที่อัตราเติบโตของตลาดในช่วงปี 2564 – 2573 อยู่ที่ 10% ต่อปี 2. จิตเวชและพฤติกรรมบำบัด (Rehab Centre) คือ การดูแลผู้ป่วยจิตเวชแบบพักค้างคืน การบำบัดฟื้นฟูผู้ติดสารเสพติด และพฤติกรรมบำบัดชาวต่างชาติ ค่าบริการ 2.5 – 5.25 แสนบาทต่อเดือน
3.การอุ้มบุญ และเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ มีการผลักดันการแก้ไขกฎหมาย พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ไขให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ที่กำหนดให้สิทธิบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรสได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และสามารถขออนุญาตดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนได้
4.การผ่าตัดยืนยันเพศสภาพ ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ จากชายเป็นหญิง โดยโรงพยาบาลเอกชน จะมีค่าใช้จ่ายราว 3 แสนบาท ส่วนการผ่าตัดจากหญิงเป็นชาย โรงพยาบาลเอกชนจะมีค่าใช้จ่ายเกือบ 1 ล้านบาท ขณะที่โรงพยาบาลรัฐถูกกว่าเอกชน 2-3 เท่าตัว
การขับเคลื่อน Medical & Wellness Hub จึงเป็นเรือธงหนึ่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่ต้องจับตามองต่อไปในอนาคต
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,074 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม พ.ศ. 2568