วันนี้ (24 ม.ค. 68) ที่กระทรวงกลาโหม พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังประชุมสภากลาโหมว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เน้นย้ำ การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (ฝุ่น PM 2.5) ถือเป็นวาระสำคัญของชาติ ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม สุขภาพของประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ
โดยรัฐบาลได้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันขึ้น แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับชาติ ภาค และจังหวัด จึงได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ บูรณาการและประสานการปฏิบัติร่วมกับจังหวัด ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ให้ครอบคลุมในทุกมิติและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในพื้นที่เมือง พื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า โดยเฉพาะพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ บูรณาการร่วมกันของเหล่าทัพ ดังนี้
กองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 3 เป็นหน่วยรับผิดชอบในระดับภาค และได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาค3ส่วนหน้า ปฏิบัติการตั้งแต่ 1 ธ.ค. 67 –30 เม.ย. 68 หรือจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อบูรณาการการปฏิบัติ ในการเฝ้าระวัง ติดตามจุดความร้อนอย่างต่อเนื่อง ประเมินสถานการณ์ไฟป่า และระงับเหตุไฟไหม้
อาทิ การจัดตั้งชุดปฏิบัติการและชุดลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยงร่วมกับชุมชนที่อยู่ใกล้ป่า เพื่อป้องกันการเผาป่าและการเกิดไฟป่า รวมทั้งสอดส่องดูแลและป้องกันการเผาในที่โล่ง รวมถึงดำเนินมาตรการอื่นๆ อาทิ การประชาสัมพันธ์เพื่อลดการเผา การลาดตระเวนป้องกันไฟป่า และการทำแนวกันไฟ
กองทัพอากาศ โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ ได้เตรียมอากาศยาน กำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงมีแผนจัดการฝึกบินควบคุมไฟป่าร่วมกับหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมการสนับสนุนการแก้ปัญหาสถานการณ์ไฟป่า ได้แก่ การบินกระจายเสียงสร้างความตระหนักรู้ เรื่องการเผาแก่ประชาชนในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก
การบินลาดตระเวนค้นหาพื้นที่ไฟป่า การบินควบคุมไฟป่า การบินสนับสนุนการลำเลียงทางอากาศให้กับหน่วยงานที่ร่วมปฏิบัติภารกิจ การบินส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ และการบินค้นหาและช่วยชีวิต
กองทัพเรือ ได้เตรียมความพร้อมของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ในพื้นที่รับผิดชอบทั้ง 7 แห่ง ทั้งใน กรุงเทพมหานคร และภูมิภาค เพื่อเตรียมการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเมื่อได้รับการร้องขอ
โดยปัจจุบันสนับสนุนการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ติดตั้งเครื่องบำบัด PM 2.5 ในบริเวณที่มีปริมาณสูงและบริเวณชุมชนหนาแน่น จำนวน 8 จุด รวมจำนวน 10 เครื่อง อาทิ ด้านหน้าราชนาวีสโมสร 1 เครื่อง , ด้านหน้า บก.ทร. (วังนันทอุทยาน) 1 เครื่อง, ด้านหน้าศูนย์การค้าไอคอนสยาม 3 เครื่อง, ด้านหน้า รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า 1 เครื่อง และมีแผนติดตั้งเพิ่มเติมอีกจำนวน 18 เครื่องในบริเวณที่มีปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูง
นอกจากนี้ ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน โดยประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านกลไกความร่วมมือทุกระดับ (ระดับอาเซียน ระดับคณะกรรมการชายแดนภายใต้ อาทิ GBC, HLC, TBC, RBC และระดับจังหวัดชายแดนคู่ขนาน)
กองบัญชาการกองทัพไทย โดยกรมกิจการชายแดนทหาร ได้ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในการขับเคลื่อนงานตามผลการประชุม “แนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน”
มีการดำเนินการที่สำคัญ อาทิ การฝึกอบรมการดับไฟป่าให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ฝ่ายลาว เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการอบรมเจ้าหน้าที่ของฝ่ายกัมพูชา ณ ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการดับไฟป่าภาคกลาง จ.กาญจนบุรี
รวมถึงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการติดตามสถานการณ์ไฟป่าให้ประเทศเพื่อนบ้าน (กรมกิจการชายแดนทหาร ร่วมกับ กรมควบคุมมลพิษ) โดยดำเนินการแล้ว จำนวน 3 แห่ง ที่ จ.ท่าขี้เหล็ก เมียนมา, เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว และ เมืองไชยะบุรี แขวงไชยะบุรี สปป.ลาว)
และมีแผนจัดตั้งเพิ่มอีก 4 แห่ง ภายในปี 2568 (ที่แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว, จ.เชียงตุง เมียนมา, จ.เกาะกง และ จ.อุดรมีชัย กัมพูชา) ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดปัญหาหมอกควันข้ามแดนที่เกิดจากประเทศเพื่อนบ้านได้ในระยะยาว
กระทรวงกลาโหม มุ่งมั่นในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 ด้วยการจัดเตรียมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ของกองทัพ อาทิ รถดับเพลิง เครื่องสูบน้ำ อากาศยาน อากาศยานไร้คนขับ และอุปกรณ์ดับไฟป่า เน้นย้ำการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนโดยรอบพื้นที่ ได้รับทราบถึงแนวทางแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 และจากนโยบายของรัฐบาลเพิ่มเติม ได้มอบให้กระทรวงกลาโหม บูรณาการร่วมกับศุลกากรในการตรวจการลักลอบนำเข้าพืชที่ผ่านการเผาตามแนวชายแดน
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมพร้อมในการสนับสนุนมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลในการแก้ไขและลดปัญหาฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานอย่างเต็มศักยภาพ