"ชัชชาติ"ชวนเอกชนมอบที่ดินให้ กทม. สร้างพื้นที่สีเขียว ดีกว่าปลูกกล้วย

27 พ.ค. 2565 | 15:08 น.
อัปเดตล่าสุด :27 พ.ค. 2565 | 22:22 น.
2.0 k

ชัชชาติชวนเอกชนมอบที่ดินให้ กทม. สร้างพื้นที่สีเขียว ชี้มีประโยชน์กว่าปลูกกล้วย ดันโครงการกรุงเทพ 15 นาที ทำสวนสาธารณะใกล้บ้าน

วันนี้ (27 พฤษภาคม) ณ บริเวณลานด้านข้างสถานีรถไฟฟ้ามหานคร สายสีม่วง สถานีวงศ์สว่าง นาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ลงพื้นที่สำรวจพื้นที่ว่างเปล่าที่ทางเอกชนมอบให้สำนักงานเขตบางซื่อจัดทำเป็นพื้นที่สวนสาธารณะในเมือง 

 

\"ชัชชาติ\"ชวนเอกชนมอบที่ดินให้ กทม. สร้างพื้นที่สีเขียว ดีกว่าปลูกกล้วย

นายชัชชาติ กล่าวว่า วันนี้ที่มาเป็นพื้นที่เอกชน อยู่กลางเมืองใกล้สถานีรถไฟฟ้าวงศ์สว่าง มีข้อมูลว่าทางเอกชนเคยติดต่อให้ กทม. ผ่านสำนักงานเขตบางซื่อใช้งานตั้งแต่ปี 2562 แต่จนปัจจุบันยังไม่มีการปรับปรุงใดๆ จึงตั้งใจมาสำรวจ 

 

ต่อจากนี้ถ้ามีเอกชนรายไหนที่มีพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และต้องการให้ กทม. ได้พัฒนาที่ดินมาทำสวนสาธารณะ ก็สามารถติดต่อกับสำนักงานเขตในพื้นที่ได้ นี่จะเป็นการช่วยกันของหลายฝ่ายให้ได้พื้นที่สีเขียว โดยที่ กทม.ไม่ต้องใช้งบประมาณมาก

 

\"ชัชชาติ\"ชวนเอกชนมอบที่ดินให้ กทม. สร้างพื้นที่สีเขียว ดีกว่าปลูกกล้วย

จากนี้ยังเชื่อว่ามีอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้นำที่ดินไปทำอะไรเพราะฉะนั้นแล้ววิธีนี้อาจจะดีกว่าการนำที่ดินเอาไปปลูกกล้วย

 

การนำที่ดินมามอบให้ กทม. ทำสวนสาธารณะอาจจะไม่ได้ช่วยลดภาษีมาก แต่ก็ขอเป็นทางเลือกแรงจูงใจเล็กๆ ให้นำที่ดินให้กทม ระยะแรกในการปรับปรุงพื้นที่อาจจะไม่ได้นาน เน้นการปรับให้มีทางเดิน มีแสงสว่างเรื่องนี้ไม่น่าจะยากเกินไป ไม่ต้องทำให้หรูหรามากเพียงแต่ทำให้คนสามารถใช้งานได้


โครงการกรุงเทพ 15 นาที ทำสวนสาธารณะใกล้บ้าน อาจต้องใช้ระยะเวลา 5-10 ปีต่อเนื่อง เพื่อจะได้ดูแลต้นไม้ได้เต็มที่ ปรับปรุงพื้นที่ได้สมบูรณ์ ตนคิดว่าวิธีนี้เป็นการแบ่งปันอย่างหนึ่งที่จะทำให้เมืองน่าอยู่เพิ่มมากขึ้น เพราะลำพังแล้ว กทม. ไม่ได้มีงบประมาณมากมายที่จะซื้อที่ดินในการทำสวนสาธารณะกลางเมือง

 
ส่วนประเด็นที่มีการนำวัวเข้ามาเลี้ยง ปลูกกล้วยในพื้นที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะหลายที่ดินมีการปรับใช้งานที่ดินของตนแบบดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศของกระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ระบุว่าภาษีที่ดินสำหรับพื้นที่ทำเกษตรกรรมจะอยู่ในอัตราที่ต่ำ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุว่าต้องปลูกอะไร ปลูกจำนวนเท่าไรเป็นขั้นต่ำ

 

ในเรื่องนี้ กทม. มีอำนาจประเมินภาษี แต่ก็ต้องประเมินตามอำนาจตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น  กฎหมายระบุไว้ให้ท้องถิ่น หรือ กทม. สามารถระบุอัตราภาษีเองได้ แต่ไม่ให้เกินอัตราสูงสุดที่ทางกระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดไว้ 

 

ดังนั้นถ้า กทม. เล็งเห็นแล้วว่าพื้นที่ไหนที่ไม่เหมาะกับการทำเกษตร ใช้ปลูกกล้วย กทม. อาจเอาอำนาจตรงนี้ปรับให้สูงกว่าที่กระทรวงการคลังกำหนดได้ อนาคตต้องให้ทีมกฎหมายช่วยดูเพื่อปรับเปลี่ยนให้สมเหตุสมผล

 

ส่วนตัวมองว่ามาตรการภาษีอาจจะเป็นอีกแรงจูงใจหนึ่งที่ทำให้คนนำที่ดินมามอบให้ กทม. ทำสวนสาธารณะเพิ่ม  บางอย่างเอกชนอาจจะต้องช่วยลงทุนด้วย เพราะถ้าหมดสัญญาที่ให้ กทม. ทำสวนสาธารณะแล้ว ต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างก็จะตกเป็นของเอกชน เรื่องนี้ต้องคุยกันอีกครั้งหนึ่ง โดยจะต้องให้เกิดประโยชน์และยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย

 

นายชัชชาติ ยังกล่าวต่อในประเด็นการย้ายศาลาว่าการกทม.ให้ไปอยู่ที่เขตดินแดงเป็นที่เดียว ว่าอาจจะไม่ได้ทำเสร็จสิ้นภายในเดือนหรือ2 เดือน

 

เพราะมีสำนักงานเก่าค้างอยู่ แต่ต้องมีการดูพื้นที่จริงจัง โดยจะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อผลักดันการย้าย แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะได้เกิดการรวมศูนย์ เพราะแต่ละพื้นที่มีค่าในอนาคตอาจจะทำเป็นพื้นที่ที่มีประโยชน์ได้


ทุกอย่างไม่ได้ย้ายได้ภายในพริบตา แต่ก็ต้องมีก้าวแรก อาจจะต้องใช้เวลา 2-3 ปี เตรียมโครงสร้าง เตรียมพื้นที่ แต่ถ้าไม่เริ่มนับหนึ่ง ไม่มีนโยบาย สุดท้ายก็จะไม่มีคนทำ