“ศรีสุวรรณ”ร้องก.ล.ต.สอบ“หมอบุญ”พฤติกรรมน่าสงสัยปมดีลวัคซีนทิพย์

20 ก.ค. 2564 | 13:06 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ค. 2564 | 20:13 น.

“ศรีสุวรรณ จรรยา”บุกร้องก.ล.ต.สอบ“หมอบุญ”พฤติกรรมน่าสงสัยปมดีล “วัคซีนทิพย์” เจรจาจัดหาวัคซีนทางเลือก 20 ล้านโดส เพื่อหวังผลสร้างกระแสความนิยมในหุ้นของบริษัทหรือไม่

วันนี้ (20 ก.ค.64) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย กรณีการออกมาให้ข่าวของ นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เกี่ยวกับดีลการเจรจาจัดหาวัคซีนทางเลือก 20 ล้านโดส ซึ่งอาจเป็น “วัคซีนทิพย์” เพื่อหวังผลสร้างกระแสความนิยมในหุ้นของบริษัทหรือไม่

 

ทั้งนี้ นพ.บุญ ออกมาให้ข่าวอย่างต่อเนื่อง กำลังดำเนินการลงนามจัดซื้อวัคซีน BioNTech ของเยอรมัน ชนิด mRNA เป็นตัวเดียวกับไฟเซอร์ และ Novavax ของอเมริกา ซึ่งสร้างความดีใจและความหวังให้กับคนไทยเป็นจำนวนมากที่หวังจะได้ใช้วัคซีนชนิด mRNA เพื่อนำมาป้องกันเชื้อโควิด-19 โดย นพ.บุญ ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะลงนามจัดซื้อได้ภายในเย็นวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับสังคม
 

ในทางกลับกัน สื่อมวลชนหลายแขนงได้รายงานข่าวว่า บริษัทเตรียมเซ็นสัญญาซื้อวัคซีน BioNTech ของเยอรมนี จำนวน 20 ล้านโดส ทำให้ช่วงเช้าวันที่ 15 ก.ค.64 ราคาหุ้นของธนบุรีเฮลท์แคร์กรุ๊ป จากราคา 29.75 บาทพุ่งขึ้นถึง 33.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 12.61 % เลยทีเดียว และสื่อต่างประเทศได้รายงานว่าการออกมาให้ข่าวดีลการซื้อวัคซีนดังกล่าวช่วยให้ราคาหุ้นของเครือธนบุรีเฮลท์แคร์กรุ๊ปดีดตัวขึ้น และมีมูลค่าด้านการตลาดเพิ่มขึ้นราว 1,500 ล้านบาท

 

ขณะเดียวกันมีการเผยแพร่อีเมลอย่างเป็นทางการจากบริษัท Pfizer Deutschland GmbH เรื่องสิทธิ์การจัดจำหน่ายวัคซีน โดยระบุว่า “เรายังคงร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการจัดหาวัคซีน Pfizer-BioNTech COVID-19 ให้ใช้ได้ทั่วประเทศไทย และเรากำลังอยู่ในช่วงปรึกษาหารือกับกรมควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น” ส่วนผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของสหรัฐฯ ก็ยืนยันเช่นกันว่า ทางบริษัทมีการเจรจาเรื่องการส่งออกวัคซีนชนิด mRNA กับรัฐบาลไทยเท่านั้น

 

บทสรุปของการดีลเจรจาซื้อวัคซีนทางเลือกของ นพ.บุญ ยังไม่มีใครทราบว่าจะออกมาทางใด แต่ที่แน่ๆ การออกมาให้ข่าวอย่างต่อเนื่องดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่า เป็นการสร้างกระแสความนิยมในหุ้นของบริษัทในเครือของตนหรือไม่ 

 

ทั้งที่กฎหมายห้ามมิให้บุคคลใดบอกกล่าวเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ฯลฯ ซึ่งมีโทษหนักทั้งทางอาญา และ หรือทางแพ่ง คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับตั้งแต่ 1 ล้านถึง 5 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ม.240 ม.242 ม.243 ประกอบ ม.296 วรรคสอง แห่ง พรบ.ตลาดหลักทรัพย์ 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

 

ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำความมาร้องเรียนต่อ ก.ล.ต.เพื่อขอให้ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังหากพบว่ามีการละเมิดกฎหมายของ ก.ล.ต.เพื่อหวังผลการเพิ่มมูลค่าหุ้นของตนในตลาดหลักทรัพย์ บนความคาดหวังลมๆ แล้งๆ ของคนไทยหรือไม่ต่อไป