ดีลใหญ่สะเทือนวงการ! CP อาจร่วมวงเทคโอเวอร์ Seven & i โบรกมองมีความเสี่ยง

31 ม.ค. 2568 | 15:08 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ม.ค. 2568 | 15:08 น.

หุ้นเครือ CP ถูกจับตา! อาจเข้าร่วมดีลลงทุนซื้อกิจการ Seven & i Holdings ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกญี่ปุ่น ด้วยมูลค่ามหาศาลกว่า 1.95 ล้านล้าน โบรกมองดีลยังมีความเสี่ยง ชี้ D/E ทั้ง CPALL-CPF อยู่ระดับสูง การกู้เงินตึงตัว ซ้ำต้องแบกภาระดอกเบี้ยสูง ฉุดกำไรดิ่ง

จากกระแสข่าว ผู้ก่อตั้ง Seven & i Holdings ของญี่ปุ่นระบุว่ากำลังมองหาการลงทุนจากบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (CP) ของไทย เพื่อเข้าร่วมในการซื้อกิจการโดยฝ่ายบริหาร (Management Buyout) ของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกญี่ปุ่น โดยแผนการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะทำให้ Seven & i Holdings กลายเป็นบริษัทเอกชน เพื่อป้องกันการซื้อกิจการ (เทคโอเวอร์) มูลค่า 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์ จาก Alimentation Couche-Tard ยักษ์ใหญ่ร้านสะดวก

ซึ่งครอบครัวผู้ก่อตั้ง Seven & i Holdings ได้มีการเจรจากับเครือ CP โดยมีการประเมินมูลค่าของกิจการร้านสะดวกซื้ออยู่ที่ประมาณ 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยแปลงค่าเงินบาทไทย ณ (30 ม.ค.68) อยู่ที่ 33.69 บาท/ดอลลาร์เป็นมูลค่า 1.95 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการซื้อกิจการโดยฝ่ายบริหารที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นหากสำเร็จ

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ดีลในการร่วมซื้อกิจการของ CP ในครั้งนี้ก็นับว่าน่าสนใจ แต่ก็ต้องรอดูว่าจะใช้วิธีใดในการระดมทุนเพื่อลงทุนในครั้งนี้ หรือจะเอาหุ้นตัวไหนออกหน้าร่วมดีล

หากเข้าไปดูในรายละเอียดงบการเงินของหุ้นในเครือ CP จะพบว่า CPALL อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity ratio : D/E)  ในช่วง 9 เดือนแรกปี 67 อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง 1.93 เท่า ขณะที่ CPAXT มี D/E อยู่ที่ระดับ 0.81 เท่า นับว่าต่ำที่สุดในกลุ่ม และ CPF มีระดับ D/E อยู่ที่ 2.01 เท่า

สะท้อนให้เห็นว่าความสามารถในการกู้บืมเงินสถาบันของทั้ง CPALL และ CPF ค่อนข้างตึงตัวแล้ว ในขณะที่ CPAXT ความสามารถในการกู้ยืมเงินนั้นยังมีมากกว่าหุ้นอีก 2 ตัว แต่ด้วยขนาดที่เล็กกว่า ทำให้มองว่าความสามารถทางการเงินก็ลงทุนครั้งนี้ก็อาจหาได้ไม่สูงมากนัก

หากว่าทาง CP มีการพิจารณาแล้วว่าดีลดังกล่าวมีความน่าสนใจในการลงทุน สามารถต่อยอดธุรกิจเดิมได้ รวมถึงสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้ในอนาคต มีความคุ้มค่ากับการลงทุน อาจเป็นการนำเอาบริษัทในเครือมาลงทุนร่วมกัน โดยอาจแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นที่แตกต่างกัน แต่โอกาสก็น้อยมากๆ เพราะ CP แบ่งประเภทธุรกิจที่ค่อนข้างชัดเจน

ทั้งนี้ มองว่าประเด็นดังกล่าวอาจเป็นผลกดดันต่อราคาหุ้นในช่วงระยะสั้น จากความกังวลใจต่อสภาพคล่องทางการเงินของหุ้นในเครือ CP เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวหากเกิดขึ้นจริง การร่วมทุนซื้อกิจการจะถูกซื้อในราคาที่พรีเมี่ยม และในระยะแรกของการลงทุนต้องยอมจ่ายดอกเบี้ยในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจกดดันต่อผลกำไรสุทธิบริษัท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) กล่าวว่า มองว่าดีลการร่วมทุนซื้อกิจการในครั้งนี้ของ CP เป็นดีลที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ต้องใช้เงินมหาศาล ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงเป็นผลจากความเสี่ยงที่ถูกใส่เข้าไปในราคาหุ้นวันนี้

"ในแง่ของผลการดำเนินงานที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้เด่นมากนัก P/E อยู่ในกรอบที่สูงมาก ทำกำไรไม่ได้ดีมาก โดย Makro และ  Lotus's ก็เพิ่งเริ่มกลับมาดูดี และด้วย D/E ที่สูงมาก ทำให้มองว่าโอกาสที่จะเกิดดีลนี้ก็ยาก และหากว่าเกิดขึ้นจริงๆ จะเป็นผลลบแน่ ส่วนการนำเอาหุ้นทั้ง 3 ตัวมาร่วมใส่เงินลงทุนในครั้งนี้ก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ CP วางภาพธุรกิจแต่ละกลุ่มไว้อย่างชัดเจนแล้ว"

ทั้งนี้ หากมองในแง่มุมของผู้บริหารต้องยอมรัยว่าดีลการลงทุนในครั้งนี้มีความเสี่ยงที่เยอะมากไป การลงทุนในระยะแรกอาจต้องเผชิญกับภาะดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในระดับสูง อย่างไรก็ดี คงต้องรอให้ทาง CP ออกมาชี้แจงรายละเอียดอีกครั้งว่าการลงทุนนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่

ด้าน นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า ประเมินว่าโอกาสเกิดขึ้นกับ CPALL มีน้อย เพราะดีลไม่น่าสนใจ โดย EPS ของ Seven & i ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาผันผวนและเติบโตต่ำ 3.3% ต่อปี อีกทั้งมูลค่าดีลตามข่าวอยู่ที่ 58 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.9 ล้านล้านบาท สูงกว่าข้อเสนอ Alimentation Couche-Tard ที่ 47 พันล้านดอลลาร์หรือ 1.6 ล้านล้านบาท ซึ่งมองว่าไม่ถูกเทียบเท่า P/E Ratio ปัจจุบัน 85.7 เท่า หรือ Fwd PER 50 เท่า

โดยคาดการลงทุนร่วมกันมีหลายฝ่าย ทั้งนี้ ส่วนของกลุ่ม CP คาดใช้เงินหลายแสนล้านเยน หรือมากกว่า 22 พันล้านบาทและมอง Synergies กับกิจการเซเว่นในไทยมีน้อย ทำให้ฝ่ายวิจัย บล.บัวหลวง มองว่าหากเกิดขึ้นจริง มองเป็นลบ เพราะอัตราผลตอบแทนของดีลนี้ แต่ละปีก่อนหักต้นทุนการเงินจะต่ำ 2.5% ต่ำกว่าต้นทุนทางการเงินของ CPALL ปัจจุบันราว 4% ดังนั้นถ้าต้องกู้เงินเพื่อลงทุนอาจกระทบต่อกำไรมี downside

และเสี่ยงที่ฐานะการเงินจะตึงตัวขึ้นจากปัจจุบันที่ Net D/E 0.84 เท่า แต่อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำซื้อหุ้น CPALL โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 79 บาท/หุ้น 

อย่างไรก็ตาม จากการตรวขสอบข้อมูลทางการเงินของหุ้น CPALL CPAXT และ CPF ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 67 พบว่า

CPALL

  • รายได้รวม : 730,233.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 680,287.45 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ : 18,166.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 12,985.48 ล้านบาท
  • กำไรสะสม : 100,289.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 86,337.55 ล้านบาท
  • เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด : 45,980.29 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 47,151.68 ล้านบาท
  • D/E : 1.93 เท่า
  • P/BV : 4.24 เท่า

CPAXT

  • รายได้รวม : 378,416.66 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 489,949.17 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ : 6,609.31 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 8,644.85 ล้านบาท
  • กำไรสะสม : 31,870.24 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 31,928.99 ล้านบาท
  • เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด : 19,821.05 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 31,707.29 ล้านบาท
  • D/E : 0.81 เท่า
  • P/BV : -

CPF

  • รายได้รวม : 436,134.70 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 442,046.31 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ : 15,385.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ -5,328.42 ล้านบาท
  • กำไรสะสม : 136,765.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 128,866.88 ล้านบาท
  • เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด : 24,412.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 22,949.43 ล้านบาท
  • D/E : 2.01 เท่า
  • P/BV : 0.78 เท่า