Liberator ชี้ มาตรการใหม่ ตลท. อาจซ้ำเติมตลาด มองผันผวนกรอบ 1,250-1,270 จุด

20 ก.พ. 2568 | 09:30 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.พ. 2568 | 09:30 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ ส่องตลาดหุ้นไทยวันนี้ 20 ก.พ.68 ผันผวนในกรอบ 1,250-1,270 จุด การประชุมเฟดสะท้อนความกังวลเงินเฟ้อสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนนโยบายทรัมป์ อาจไม่ลดดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ พร้อมรับปัจจัยจิตวิทยาเชิงลบต่อมาตรการใหม่ตลาดหลักทรัพย์ฯ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ 20 ก.พ.68 ว่า มอง SET Index วันนี้ยังมีความผันผวน ในกรอบ 1,250-1,270 จุด จากหลายปัจจัยที่ยังมีความไม่แน่นอน

โดยรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) รอบล่าสุด (FED Minutes) ที่ออกมาเมื่อคืนที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าคณะกรรมการ ยังคงมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ รวมถึงเงินเฟ้อที่มีโอกาสสูงขึ้น จึงทำให้ FED จะไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ จากรายงานดังกล่าวสอดคล้องกับเครื่องมือ FED Watch Tool ที่คาดปีนี้ FED จะลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว โดยด้านสหรัฐฯ Bond Yield 10 ปี วานนี้ยังคงแกว่งบริเวณ 4.5%

ด้านปัจจัยในประเทศยังผันผวน โดยวานนี้ทางกระทรวงการคลัง เตรียมเร่งดำเนินการจัดตั้งกองทุน ThaiESG 2 เพื่อรับการโยกเงินกองทุน LTF เดิมราว 1.8 แสนล้านบาท โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีใหม่ และช่วยลดแรงไถ่ถอนของ LTF ที่ค้างอยู่ ซึ่งคาดจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/68 ประเด็นนี้ถือเป็นปัจจัยบวกระยะสั้นที่เข้ามาช่วยพยุงตลาด 

แต่อย่างไรก็ดีอาจมีปัจจัยลบที่เข้ามาหักล้าง เนื่องจากวานนี้ช่วงเย็นทางตลาดหลักทรัพย์ชี้แจงการทบทวนมาตรการ Short Sell ใหม่ ซึ่งจากเดิมให้ใช้กฎ Uptick Rule กับทุกหลักทรัพย์ จะปรับมาให้ใช้ Uptick เฉพาะหุ้นที่ราคาลดลงจากราคาปิดวันก่อนหน้าจนถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และใช้กับหุ้นใน SET100 เท่านั้น

ดังนั้นคาดประเด็นนี้อาจจะเพิ่มแรงกดดันให้กับหุ้นในกลุ่ม SET100 มากขึ้น ท่ามกลางตลาดที่ยังคงเปราะบาง ดังนั้นอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

ปัจจัยที่ต้องจับตา

20 ก.พ. 68

  • ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯ 
  • สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์สหรัฐฯ
  • Loan Prime Rate ของจีน

21 ก.พ. 68

  • PMI การผลิตและบริการของสหรัฐฯ & ยูโรโซน
  • ดัชนีความเชื่อมั่นสหรัฐฯ จาก ม.มิชิแกน

หุ้นเด่นแนะนำ

KTB (ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 27.00 บาท)

  • ประกาศจ่ายปันผล 1.545 บาทต่อหุ้น สูงกว่าตลาดคาด และคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่สูงถึง 6.4% สะท้อน Dividend Payout ที่ระดับ 49% สูงกว่าปี 66 ที่ 33%
  • การตั้งสำรองมีแนวโน้มชะลอตัวลง ตอบรับคุณภาพสินทรัพย์ของ KTB ที่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งสะท้อนจากสัดส่วนลูกหนี้ Stage 2 และ NPL ที่ปรับตัวลง