CEO ทรีนีตี้ เชื่อมั่นการบินไทยบรรลุแผนฟื้นฟูฯ หนุนตลาดหุ้นไทยคึกคัก

11 ธ.ค. 2567 | 07:09 น.

"วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล" CEO ทรีนีตี้ TNITY มองบวก "การบินไทย" ประสบความสำเร็จแปลงหนี้เป็นทุน บรรลุแผนฟื้นฟูกิจการและกลับเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยกลางปี 68 ตามแผน ส่งอานิสงส์ตลาดหุ้นไทยคึกคัก

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า กระบวนการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ก็นับว่าประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี โดยที่เจ้าหนี้เองก็แสดงเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมเกินกว่า 3 เท่าของจำนวนหุ้นที่มีรองรับตามแผนฟื้นฟูกิจการ

สะท้อนให้เห็นว่าเจ้าหนี้เองก็พร้อมที่จะสนับสนุน "การบินไทย" และด้วยปัจจัยดังกล่าวอาจเป็นผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินเฉพาะกิจการของการบินไทยกลายเป็นบวกภายในสิ้นปีนี้ อันเป็นการบรรลุหนึ่งในเงื่อนไขในการยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของกระบวนการปรับโครงสร้างทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้แก่ ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงานของบริษัทฯ และบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ตามลำดับ ซึ่งอยู่ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ก็เชื่อว่าการบินไทยจะสามารถบรรลุแผนฟื้นฟูกิจการและกลับมาซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้ไม่เกินกลางปี 68 ตามแผนได้

"มองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่การบินไทยประสบความสำเร็จในกระบวนการแปลงหนี้เป็นทุน  ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยร่วมด้วย เพราะมีหุ้น Big cap กลับมาเทรดในตลาดหุ้นอีกครั้ง สร้างบรรยากาศการลงทุนให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปี 68 ที่การท่องเที่ยวยังคงมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานของหุ้นเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว รวมถึงการบินไทยเองก็ดูว่าจะขยายตัวได้มากกว่าปี 67 นี้อีกด้วย"

 

หากถามว่าการที่กระทรวงการคลังต้องขายหน่วยลงทุนที่ถือคืนให้กับกองทุนวายุภักษ์ เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนการบินไทยนั้นจะได้คุ้มเสียหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าหากการบินไทยกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อีกครั้ง ด้วยเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว รวมถึงการท่องเที่ยวที่กลับมามีการเติบโต แน่นอนว่าผลตอบแทนที่ได้จากการบินไทยย่อมไม่น้อยหน้ากว่า

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) กล่าวว่า หากว่าต้องเทียบเรื่องของผลตอบแทนที่กระทรวงการคลังจะได้รับ เทียบกันระหว่างที่ได้จากกองทุนวายุภักษ์ กับที่จะได้จากการบินไทยมันได้คุ้มเสียหรือไม่นั้น มองว่าอยู่ที่ว่าการบินไทยสามารถแก้ไขปัญหาภายในได้ดีจริงหรือไม่

ถ้าแผนการฟื้นฟูกิจการเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สามารถนำหุ้น THAI กลับมาเทรดในกระดานได้อีกครั้ง รวมถึงมีงบการเงินกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการท่องเที่ยวที่กลับมาเติบโตผลตอบแทนก็อาจจะดีตามไปด้วย อีกทั้งยังมีโอกาสที่กองทุนภายุภักษ์จะเข้ามาลงทุนถือหุ้นได้เพิ่มเติมอีกในอนาคต

"มองว่าในปี 68 การท่องเที่ยวจะยังคงมีการขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 35 ล้านคน หนุนภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ช่วยสะท้อนต่อทิศทางผลการดำเนินงานของการบินไทยด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากนี้คงต้องรอดูว่าแผนการฟื้นฟูกิจการของการบินไทยจะบรรลุได้ตามเป้าหมายและกลับมาเทรดในกลางปีน้าได้หรือไม่"

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.67 ทาง "การบินไทย" ได้แจ้งในแบบรายงานผลการขายหลักทรัพย์ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ (F53-5) โดยรายละเอียดระบุว่า รายงานผลการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่้มทุนจากการแปลงหนี้เป็นทุนตามที่กำหนดในแผนฟื้นฟูกิจการ ข้อ 5.6.3 (ก) (ข) และ (ค) ของเจ้าหนี้กลุ่มที่ 4 เจ้าหนี้กลุ่มที่ 5 เจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นตามแผนฟื้นฟูกิจการ

โดยจำนวนหุ้นที่จัดสรรที่ 21,677,214,622 หุ้น ราคาจองซื้อที่ 2.5452 บาท/หุ้น ที่เปิดจองซื้อและชำระค่าหุ้นไปเมื่อวันที่ 19-21 พ.ย.67 ซึ่งหุ้นที่จัดสรรในครั้งนี้ที่ขายได้ จำนวน 20,989,446,278 หุ้น ทำให้ยังมีจำนวนคงเหลือ 687,768,344 หุ้น

จากความความคืบหน้าในการดำเนินการเพื่อออกจากแผนฟื้นฟูกิจการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ คือ "การแปลงหนี้เป็นทุน" โดยการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการ ประกอบไปด้วย

  • การแปลงหนี้เดิมของเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการแบบภาคบังคับเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Mandatory Conversion) จำนวนไม่เกิน 14,862,369,633 หุ้น ที่ราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 37,828 ล้านบาท
  • การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 4,911,236,813 หุ้น ที่ราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 12,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงหนี้เดิมของเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการเป็นทุนเพิ่มเติมโดยความสมัครใจ (Voluntary Conversion)
  • การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,903,608,176 หุ้น ที่ราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 4,845 ล้านบาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงหนี้ดอกเบี้ยใหม่ตั้งพักของเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการเป็นทุนโดยความสมัครใจ

ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ได้แจ้งในแบบ 246-2 ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 2,398,507.018 หุ้น หรือ 10.3507% เป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ซึ่งภายหลังการได้มาดังกล่าว ทำให้ BBL ถือหุ้น THAI เพิ่มเป็น 2,407,879,062 หุ้น หรือ 10.3912% จากเดิมถือหุ้นจำนวน 9,372,044 หุ้น หรือ 0.4293%

ด้าน ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB แจ้งในแบบ 246-2 ถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 1,327,322,126 หุ้น หรือ 5.7280% เป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ขณะที่ก่อนหน้านี้ KTB ไม่ได้ถือหุ้น THAI อยู่เลย

หลังจากนั้นทางกระทรวงการคลังได้แจ้งในแบบรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการหรือแบบ 246-2 ถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 5,264,088,562 หุ้น คิดเป็น 22.7172% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ซึ่งภายหลังการได้มาดังกล่าว ทำให้กระทรวงการคลังถือหุ้น THAI เพิ่มเป็น 6,308,825,753 หุ้น หรือ 27.2258% จากเดิมถือหุ้นจำนวน 1,044,737,191 หรือ 47.8628%

ขณะเดียวกัน สหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด (สอ.กฟผ.) ได้แจ้งในแบบ 246-2 เช่นเดียวกันถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 1,538,121,854 หุ้น หรือ 6.6377% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ขณะที่ก่อนหน้านี้ ทางสหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด ไม่ได้ถือหุ้น THAI อยู่เลย

นอกจากนี้ ทางธนาคารออมสิน ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ได้มีการได้แจ้งในแบบ 246-2 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.67 เช่นเดียวกันถึงการได้มาหุ้น THAI ประกอบด้วย

ธนาคารออมสิน รายงายถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 401,585,232 หุ้น คิดเป็น 1.7330% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งภายหลังการได้มาดังกล่าว ทำให้ธนาคารออมสินถือหุ้น THAI เพิ่มเป็น 447,995,117 หุ้น หรือ 1.9333% จากเดิมถือหุ้นจำนวน 46,409,885 หรือ 2.1261%

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รายงายถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 397,330,248 หุ้น คิดเป็น 1.7146% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน จากที่ก่อนหน้านี้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยไม่ได้ถือหุ้น THAI อยู่ก่อน

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย รายงายถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 167,339,685 หุ้น คิดเป็น 0.7221% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน จากที่ก่อนหน้านี้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยไม่ได้ถือหุ้น THAI อยู่ก่อน

และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) รายงายถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 129,757,967 หุ้น คิดเป็น 0.5599% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน จากที่ก่อนหน้านี้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้ถือหุ้น THAI อยู่ก่อนเช่นเดียวกัน

ผลงานย้อนหลัง 3 ปี (64-66)

  • รายได้รวม อยู่ที่ 25,339.48 ล้านบาท 105,212.31 ล้านบาท และ 165,491.79 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ อยู่ที่ 61,823.37 ล้านบาท 11,000.93 ล้านบาท และ 42,411.90 ล้านบาท
  • EBITDA อยู่ที่ 74,367.51 ล้านบาท 20,881.82 ล้านบาท และ 53,800.99 ล้านบาท
  • เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน อยู่ที่ -9,847.19 ล้านบาท 29,107.43 ล้านบาท และ 43,904.86 ล้านบาท
  • รวมสินทรัพย์ อยู่ที่ 161,219.25 ล้านบาท 198,177.72 ล้านบาท และ 238,990.66 ล้านบาท

ผลงาน 9 เดือนปี 67

  • รายได้รวม อยู่ที่ 146,624.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26,590.14 ล้านบาท หรือ 22.15% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 120,034.77 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ อยู่ที่ 15,195.21 ล้านบา ลดลง 1,118.33 ล้านบาท หรือ -6.85% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 16,313.54 ล้านบาท
  • EBITDA อยู่ที่ 39,016.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,816.38 ล้านบาท หรือ 10.84% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 35,199.97 ล้านบาท
  • เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน อยู่ที่ 45,127.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,682.24 ล้านบาท หรือ 23.82% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 36,445.21 ล้านบาท
  • รวมสินทรัพย์ อยู่ที่ 263,743.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29,452.81 ล้านบาท หรือ 12.57% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 234,290.23 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังพบว่าในปี 66 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI มีค่าตอบแทนรวมของพนักงาน อยู่ที่ 10,392,908,754.00 ล้านบาท