ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า กระบวนการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ก็นับว่าประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี โดยที่เจ้าหนี้เองก็แสดงเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมเกินกว่า 3 เท่าของจำนวนหุ้นที่มีรองรับตามแผนฟื้นฟูกิจการ
สะท้อนให้เห็นว่าเจ้าหนี้เองก็พร้อมที่จะสนับสนุน "การบินไทย" และด้วยปัจจัยดังกล่าวอาจเป็นผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินเฉพาะกิจการของการบินไทยกลายเป็นบวกภายในสิ้นปีนี้ อันเป็นการบรรลุหนึ่งในเงื่อนไขในการยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ
ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของกระบวนการปรับโครงสร้างทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้แก่ ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงานของบริษัทฯ และบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ตามลำดับ ซึ่งอยู่ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ก็เชื่อว่าการบินไทยจะสามารถบรรลุแผนฟื้นฟูกิจการและกลับมาซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้ไม่เกินกลางปี 68 ตามแผนได้
"มองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่การบินไทยประสบความสำเร็จในกระบวนการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยร่วมด้วย เพราะมีหุ้น Big cap กลับมาเทรดในตลาดหุ้นอีกครั้ง สร้างบรรยากาศการลงทุนให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปี 68 ที่การท่องเที่ยวยังคงมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานของหุ้นเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว รวมถึงการบินไทยเองก็ดูว่าจะขยายตัวได้มากกว่าปี 67 นี้อีกด้วย"
หากถามว่าการที่กระทรวงการคลังต้องขายหน่วยลงทุนที่ถือคืนให้กับกองทุนวายุภักษ์ เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนการบินไทยนั้นจะได้คุ้มเสียหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าหากการบินไทยกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อีกครั้ง ด้วยเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว รวมถึงการท่องเที่ยวที่กลับมามีการเติบโต แน่นอนว่าผลตอบแทนที่ได้จากการบินไทยย่อมไม่น้อยหน้ากว่า
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) กล่าวว่า หากว่าต้องเทียบเรื่องของผลตอบแทนที่กระทรวงการคลังจะได้รับ เทียบกันระหว่างที่ได้จากกองทุนวายุภักษ์ กับที่จะได้จากการบินไทยมันได้คุ้มเสียหรือไม่นั้น มองว่าอยู่ที่ว่าการบินไทยสามารถแก้ไขปัญหาภายในได้ดีจริงหรือไม่
ถ้าแผนการฟื้นฟูกิจการเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สามารถนำหุ้น THAI กลับมาเทรดในกระดานได้อีกครั้ง รวมถึงมีงบการเงินกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการท่องเที่ยวที่กลับมาเติบโตผลตอบแทนก็อาจจะดีตามไปด้วย อีกทั้งยังมีโอกาสที่กองทุนภายุภักษ์จะเข้ามาลงทุนถือหุ้นได้เพิ่มเติมอีกในอนาคต
"มองว่าในปี 68 การท่องเที่ยวจะยังคงมีการขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 35 ล้านคน หนุนภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ช่วยสะท้อนต่อทิศทางผลการดำเนินงานของการบินไทยด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากนี้คงต้องรอดูว่าแผนการฟื้นฟูกิจการของการบินไทยจะบรรลุได้ตามเป้าหมายและกลับมาเทรดในกลางปีน้าได้หรือไม่"
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.67 ทาง "การบินไทย" ได้แจ้งในแบบรายงานผลการขายหลักทรัพย์ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ (F53-5) โดยรายละเอียดระบุว่า รายงานผลการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่้มทุนจากการแปลงหนี้เป็นทุนตามที่กำหนดในแผนฟื้นฟูกิจการ ข้อ 5.6.3 (ก) (ข) และ (ค) ของเจ้าหนี้กลุ่มที่ 4 เจ้าหนี้กลุ่มที่ 5 เจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นตามแผนฟื้นฟูกิจการ
โดยจำนวนหุ้นที่จัดสรรที่ 21,677,214,622 หุ้น ราคาจองซื้อที่ 2.5452 บาท/หุ้น ที่เปิดจองซื้อและชำระค่าหุ้นไปเมื่อวันที่ 19-21 พ.ย.67 ซึ่งหุ้นที่จัดสรรในครั้งนี้ที่ขายได้ จำนวน 20,989,446,278 หุ้น ทำให้ยังมีจำนวนคงเหลือ 687,768,344 หุ้น
จากความความคืบหน้าในการดำเนินการเพื่อออกจากแผนฟื้นฟูกิจการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ คือ "การแปลงหนี้เป็นทุน" โดยการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการ ประกอบไปด้วย
ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ได้แจ้งในแบบ 246-2 ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 2,398,507.018 หุ้น หรือ 10.3507% เป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ซึ่งภายหลังการได้มาดังกล่าว ทำให้ BBL ถือหุ้น THAI เพิ่มเป็น 2,407,879,062 หุ้น หรือ 10.3912% จากเดิมถือหุ้นจำนวน 9,372,044 หุ้น หรือ 0.4293%
ด้าน ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB แจ้งในแบบ 246-2 ถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 1,327,322,126 หุ้น หรือ 5.7280% เป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ขณะที่ก่อนหน้านี้ KTB ไม่ได้ถือหุ้น THAI อยู่เลย
หลังจากนั้นทางกระทรวงการคลังได้แจ้งในแบบรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการหรือแบบ 246-2 ถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 5,264,088,562 หุ้น คิดเป็น 22.7172% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ซึ่งภายหลังการได้มาดังกล่าว ทำให้กระทรวงการคลังถือหุ้น THAI เพิ่มเป็น 6,308,825,753 หุ้น หรือ 27.2258% จากเดิมถือหุ้นจำนวน 1,044,737,191 หรือ 47.8628%
ขณะเดียวกัน สหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด (สอ.กฟผ.) ได้แจ้งในแบบ 246-2 เช่นเดียวกันถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 1,538,121,854 หุ้น หรือ 6.6377% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ขณะที่ก่อนหน้านี้ ทางสหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด ไม่ได้ถือหุ้น THAI อยู่เลย
นอกจากนี้ ทางธนาคารออมสิน ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ได้มีการได้แจ้งในแบบ 246-2 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.67 เช่นเดียวกันถึงการได้มาหุ้น THAI ประกอบด้วย
ธนาคารออมสิน รายงายถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 401,585,232 หุ้น คิดเป็น 1.7330% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งภายหลังการได้มาดังกล่าว ทำให้ธนาคารออมสินถือหุ้น THAI เพิ่มเป็น 447,995,117 หุ้น หรือ 1.9333% จากเดิมถือหุ้นจำนวน 46,409,885 หรือ 2.1261%
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รายงายถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 397,330,248 หุ้น คิดเป็น 1.7146% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน จากที่ก่อนหน้านี้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยไม่ได้ถือหุ้น THAI อยู่ก่อน
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย รายงายถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 167,339,685 หุ้น คิดเป็น 0.7221% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน จากที่ก่อนหน้านี้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยไม่ได้ถือหุ้น THAI อยู่ก่อน
และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) รายงายถึงการได้มาหุ้น THAI ในจำนวน 129,757,967 หุ้น คิดเป็น 0.5599% โดยเป็นการได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน จากที่ก่อนหน้านี้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้ถือหุ้น THAI อยู่ก่อนเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังพบว่าในปี 66 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI มีค่าตอบแทนรวมของพนักงาน อยู่ที่ 10,392,908,754.00 ล้านบาท