นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะการจับจ่ายใช้สอยมีสัญญาณดีขึ้น จากการที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 56.0 ในเดือนต.ค.67 หลังจากที่ปรับลดลงติดต่อกันมาเจ็ดเดือน
ซึ่งดัชนีที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะสามารถตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้ ที่จะเปิดทางให้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นระลอก ทางฝ่ายคาดว่ามาตรการกระตุ้นล่าสุดของรัฐบาล (แจกเงินเฟส 1: จ่าย 1 หมื่นบาท/หัว ให้กลุ่มเป้าหมาย 14.5 ล้านคน มูลค่ารวมประมาณ 1.45 แสนล้านบาท) มองว่าจะช่วยหนุนการใช้จ่ายในประเทศในเดือนก.ย. 67 และไตรมาส 4/67
โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่จากโครงการนี้น่าจะไปลงที่ร้านค้าขนาดเล็กในชุมชนที่ขายสินค้าจำเป็น (โดยเฉพาะหมวดอาหาร และ เครื่องดื่ม) ซึ่งจากผลการสำรวจของภาครัฐ ประมาณ 95% ของผู้ตอบแบบสอบถามจะใช้เงิน 1 หมื่นบาทที่ได้รับแจกเพื่อซื้ออาหาร และเครื่องดื่มจากร้านค้าขนาดเล็กในชุมชน
อุปสงค์ในประเทศจะดีขึ้นต่อเนื่องจาก
ส่งผลให้โมเมนตัมยอดขายต่อสาขาเดิม (same store sales growth) ของบริษัทในกลุ่ม commerce ของไทยดีขึ้น โดยจากการตรวจสอบล่าสุดของทางฝ่าย same-store-sales growth ของบริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่ม commerce ที่ศึกษาอยู่ CPALL CPAXT CRC DOHOME GLOBAL และ HMPRO ดีขึ้นในเดือนต.ค.-พ.ย. 67
โดยเฉพาะร้านค้าในประเทศไทยซึ่งเป็นบวกในระดับเลขตัวเดียวต่ำๆ ยกเว้น GLOBAL ที่ทรงตัว และ HMPRO ในส่วนของห้าง HMPRO ที่ติดลบในระดับเลขตัวเดียวต่ำๆ) ทั้งนี้ จากมาตรการกระตุ้นที่ออกมาเป็นระลอก และ ช่วงเทศกาลในไตรมาส 4/67 จึงคาดว่าโมเมนตัม ของ same-store-sales น่าจะดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของไตรมาสนี้และปี 68
ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทในกลุ่มที่เน้นจำหน่ายอาหาร และ เครื่องดื่ม คิดเป็น 75% ของยอดขาย CPALL, 94% ของยอดขาย CPAXT (ค้าส่ง), 83% ของยอดขาย CPAXT (ค้าปลีก) น่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินของรัฐบาล ในขณะที่บริษัทในกลุ่มที่เน้นจำหน่ายสินค้าที่มีราคาสูง และจับกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงสูงน่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการ Easy E-receipt
โดยทางฝ่ายมองว่าผลบวกจากฐานที่ต่ำเพราะโควิด-19 น่าจะหมดไปแล้ว ดังนั้น จึงคาดว่ากำไรน่าจะกลับมาโตในระดับปกติจากปี 68 เป็นต้นไป ดังนั้น นักลงทุนจึงควรติดตามประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และ กลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม โดยเรามองว่าอาจจะมีการปรับ de-rate PER ในระยะต่อไปเพื่อสะท้อนถึงการเติบโของกำไรที่กลับมาอยู่ระดับปกติ
จากปัจจัยที่กล่าวมาในข้างต้น ทำให้ทางฝ่ายยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่ม commerce ที่มากกว่าตลาด เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นมาเป็นระลอกในไตรมาส 4/67 และไตรมาส 1/68 ซึ่งจะช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค โดยทางฝ่ายเลือก CPAXT แนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 68 ที่ 39.0 บาท และ CRC แนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 68 ที่ 36.0 บาท
ทางฝ่ายคาดว่า CPAXT จะได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินของรัฐบาลทั้งเฟส 1 และ 2 เพราะประเภทสินค้าที่จำหน่าย และโครงสร้างลูกค้าในธุรกิจค้าส่ง ในขณะเดียวกัน ก็คาดว่า CRC จะได้อานิสงส์จากมาตรการ easy E-receipt ในฐานะที่เป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า และ จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงสูง
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องให้การจับตาด้านปัจจัยความเสี่ยง อาทิ เศรษฐกิจชะลอตัวลง, disruption ที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่, ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการ, พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป, ขยายสาขาได้น้อยกว่าที่วางแผนไว้, การหาทำเลเพื่อตั้งสาขา เป็นต้น