ดีมานด์ทองคำไทยพุ่ง11% สูงสุดในอาเซียน 2 ไตรมาสติด

02 พ.ย. 2567 | 12:04 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ย. 2567 | 12:05 น.

ความต้องการทองคำทั่วโลกไตรมาส 3 เพิ่ม 5% แตะ 1,313 ตัน หรือ 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ไทยยังคงเติบโตสูงสุดในอาเซียนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 พุ่งสูงขึ้น 11% คิดเป็นปริมาณ 14.5 ตัน

ความผันผวนของตลาดโลก โดยเฉพาะความกังวลด้านเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ ส่งผลให้ความต้องการซื้อทองคำสูงขึ้นทั้งจากนักลงทุนและผู้ซื้อในประเทศ

สภาทองคำโลก (World Gold Council : WGC) รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาส3 ของปี 2567 ว่า ความต้องการทองคำผู้บริโภคของประเทศไทยยังคงมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 โดยพุ่งสูงขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นปริมาณ 14.5 ตัน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567

ขณะเดียวกันปริมาณความต้องการทั่วโลกก็ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีปริมาณความต้องการทองคำทั้งหมด จากทุกภาคส่วนเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 1,313 ตัน ซึ่งนับว่า เป็นปริมาณความต้องการโดยรวมของไตรมาสที่ 3 ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

"นับเป็นมูลค่าของความต้องการทองคำรวมสูงกว่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการลงทุนที่แข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์"

ด้านความต้องการทองคำสำหรับการลงทุนได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 364 ตัน เนื่องจากทิศทางความต้องการในกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำได้เปลี่ยนไป 

ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นจากนักลงทุนฝั่งตะวันตก กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณทองคำขึ้นรวม 95 ตัน ถือเป็นไตรมาสแรกที่มีทิศทางเป็นบวกนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2565

แม้ว่าความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกได้ลดลง 9% แต่ความต้องการของประเทศไทยกลับสวนกับทิศทางในระดับโลกและเติบโตเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า โดยมีจำนวนอยู่ที่ 12.1 ตันในไตรมาส3 ปี 2567

"ไทยนับเป็นประเทศที่มีความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับที่สองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"

นายเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน)และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลกกล่าวว่า ความต้องการทองคำผู้บริโภคในประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเริ่มโครงการ “ดิจิทัลวอลเลต” ที่รอคอยกันมานาน

นายเซา ไก ฟาน หัวหน้าภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน )และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก

ซึ่งได้รวมการแจกเงินรูปแบบของเงินสดที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่น รัฐบาลได้เริ่มดำเนินโครงการนี้ในช่วงปลายไตรมาส3 ซึ่งอาจช่วยสนับสนุนความต้องการทองคำในไตรมาสที่ 4 ได้

“ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการคาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้น ได้กระตุ้นความต้องการทองคำของนักลงทุนในประเทศในกลุ่มอาเซียนในไตรมาส3"

โดยทั้งประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ต่างก็มีการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไทย ความต้องการทองคำผู้บริโภคยังคงมีการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนติดต่อกันถึง 2 ไตรมาส

ในส่วนของธนาคารกลาง ได้มีการซื้อทองคำชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ระดับความต้องการยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ปริมาณ 186 ตัน โดยยอดความต้องการทองคำของธนาคารกลางตลอดทั้งปีจนถึงปัจจุบันรวมกันอยู่ที่ระดับ 694 ตัน สอดคล้องกับระดับปริมาณในช่วงเดียวกันของปี 2565

 ราคาทองคำยังคงพุ่งสูงต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสนี้ โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,474 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อระดับความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลก

ทำให้การบริโภคทองคำเครื่องประดับลดลง 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าหากพิจารณาในแง่ของปริมาณทองคำ แต่หากมองในเชิงมูลค่ากลับพบว่ามีการเติบโต 13% สิ่งนี้อาจแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ทองคำในปริมาณที่น้อยลง

นอกจากนี้ ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยีได้เติบโต 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่ยังคงสนับสนุนความต้องการทองคำอย่างต่อเนื่อง

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,041 วันที่ 3 - 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567