นายมาร์โค สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสประจำประเทศไทย บริษัท เจพีมอร์แกน ประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 67 การคาดการณ์ตลาดและเศรษฐกิจในระดับมหภาค รวมถึงแนวโน้มของกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจและมีโอกาสสำหรับการลงทุน
มองว่าดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) กำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในเดือนต.ค.67 โดยได้รับแรงหนุนหลักจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ ซึ่งได้ซื้อหุ้นรวมกันกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นเดือนต.ค. ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (MTD)
ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่กะทันหันจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น และบรรเทาปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ชั่วคราว อย่างไรก็ดี การปรับตัวเพิ่มขึ้นของ SET Index อาจได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยรวมถึงความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
ประกอบกับแผนการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งอาจส่งผลทำให้ภาษีการค้าระหว่างประเทศสูงขึ้น และปัญหาอุทกภัยในภาคเหนือของไทย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการรายงานผลการประกอบการของบริษัทต่างๆ สำหรับไตรมาส 3/67 ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไทยชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้มีการปรับการประเมินอันดับมูลค่าหุ้นใหม่ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่ง J.P. Morgan มีจุดยืนในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นไทยในภูมิภาคอาเซียนด้วยความเป็นกลาง
ทั้งนี้ จากการที่ ธปท. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 ต.ค.67 ซึ่งถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 63 ซึ่งน่าจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 4/67 และช่วยบรรเทาปัญหาหนี้สินครัวเรือน จึงเชื่อว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของตลาดในอนาคตอันใกล้
หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนช่วยเพิ่มอำนาจซื้อของผู้บริโภคได้ ก็เชื่อว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวขาเข้าจากจีน และในด้านการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อออกไปอาจทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติระมัดระวังและชะลอการลงทุนในประเทศไทยและตลาดหุ้นเกิดใหม่อื่นๆ (Emerging Market: EM)
"โดยในอดีต นักลงทุนต่างชาติมักจะถอนการลงทุนออกจากหุ้นไทยหนึ่งเดือนก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ ก่อนจะกลับมาลงทุนในตลาดอีกครั้งภายหลังการเลือกตั้ง"
ในด้านการคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 3/567 แนวโน้มกำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของ ดัชนี MSCI Thailand ยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-3 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ปัจจัยหลักมาจากผลประกอบการที่ผันผวนในกลุ่มวัสดุและสาธารณูปโภค ขณะที่ผลประกอบการของกลุ่มอื่นๆ กลับมีการปรับกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค โทรคมนาคม และไอที
นักลงทุนควรจับตามองแนวโน้มกระแสเงินทุนที่ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทย แรงหนุนจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เช่น การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในประเทศ ราคาน้ำมันที่ลดลง ค่าเงินดอลลาร์ที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ของจีน
และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจส่งผลให้กระแสเงินลงทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ การที่นักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ตลาดเกิดใหม่ก็จะได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตลาดไทยด้วยเช่นกัน