กรณีนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ออกมาระบุว่า พบเส้นเงินผิดปกติกว่า 247,911,936 USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาท ถูกโอนออกไปก่อนที่ "โค้ชแล็ป" ดิไอคอน จะถูกจับเพียง 1 ชั่วโมง” ซึ่งขณะนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการตรวจสอบความมีอยู่จริงของธุรกรรมดังกล่าว ขณะที่ไบแนนซ์ ออกมาชี้แจงภายหลังถูกเชื่อมโยงว่าหนึ่งในผู้บริหารดิไอคอน กรุ๊ป มีโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่ กระเป๋าเงินคริปโต Binance Hot Wallet
เพื่อสร้างให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น “ฐานเศรษฐกิจ” จึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) คืออะไร และมีประเภทอะไรบ้าง
กระเป๋าเงินคริปโต เป็นหัวใจสำคัญในการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเครื่องมือตัวหนึ่งที่ทำงานร่วมกับเครือข่ายบล็อกเชน และทำหน้าที่เก็บรักษาเหรียญของผู้ใช้ พร้อมช่วยให้ส่งหรือรับเหรียญระหว่างผู้ใช้รายอื่น ๆ กระเป๋าเหล่านี้มีรูปแบบที่แตกต่างกันหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น Software Wallet, Hardware Wallet หรือ Paper Wallet และในบางกรณี กระเป๋าเงินคริปโตนี้ก็อาจถูกจัดหมวดหมู่ได้เป็น Hot Wallet และ Cold Wallet
ปัจจุบัน กระเป๋าเงินคริปโต ส่วนมากถูกจัดเป็น Software เนื่องจากความสะดวกในการทำธุรกรรม ที่สามารถทำได้เร็วกว่ากระเป๋าลักษณะอื่น ๆ มาก อย่างไรก็ตาม Hardware Wallet ก็ยังขึ้นชื่อว่าปลอดภัยกว่า เนื่องจากสามารถตัดปัญหาการโจรกรรมทางอินเตอร์เน็ตได้ ในส่วน Paper Wallet หรือกระเป๋ากระดาษ นั้นเป็นลักษณะกระเป๋าชนิดที่จะเก็บเหรียญของผู้ใช้ไว้บนกระดาษผ่านการพิมพ์ แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ล้าสมัยและก็มีความน่าเชื่อถือหากถูกใช้อย่างถูกวิธี
ถึงแม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าเป็นกระเป๋าเงินคริปโต กระเป๋าพวกนี้ก็ไม่ได้เก็บเหรียญคริปโตไว้อย่างที่กระเป๋าสตางค์เก็บเหรียญหรือธนบัตร ในทางกลับกัน กระเป๋าเงินคริปโตจะสร้างเครื่องมือที่สำคัญในการเข้าถึงบัญชีส่วนตัว หรือก็คือชุดข้อมูลที่ประกอบไปด้วยกุญแจสาธารณะ (Public key) และกุญแจส่วนตัว (Private key) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญคือการส่งออกหรือรับเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีเข้ามาผ่านธุรกรรมของบล็อกเชน
นอกจากนั้น กระเป๋าคริปโตยังมีรหัสที่อยู่ (Address) ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้กุญแจสาธารณะและกุญแจส่วนตัว หน้าที่ของมันก็คือเป็นตัวระบุบัญชีส่วนตัวที่สามารถส่งเหรียญเข้าไปได้ หมายความว่า สามารถรับและส่งเหรียญได้ผ่านรหัสที่อยู่ของกระเป๋าคริปโต
ข้อควรระวัง ด้วยกุญแจส่วนตัว สามารถเข้าถึงกระเป๋าเงินคริปโตได้ทุกที่ทุกเวลา การเปิดเผยกุญแจส่วนตัวอาจส่งผลให้บุคคลภายนอกเข้ามาเอาเหรียญไปได้ ดังนั้นรหัสชุดนี้จึงต้องถูกเก็บไว้อย่างดี
1. Hot Wallet
- เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตตลอดเวลา
- เหมาะสำหรับการทำธุรกรรมที่ต้องการความรวดเร็วและความสะดวก
- มีความเสี่ยงต่อการถูกแฮกสูงกว่า
1.1 Web Wallet
- ใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์
- เป็นที่นิยมมากที่สุดเพราะใช้งานง่าย
ตัวอย่างเช่น Metamask, Rabby Wallet, Phantom Wallet สามารถดูกราฟและเปรียบเทียบราคาระหว่างตลาดได้สะดวก
1.2 Mobile Wallet
- ใช้งานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความคล่องตัว
ตัวอย่างเช่น Exodus, Trust Wallet สามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลา
1.3 Desktop Wallet
- ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อป
- เก็บไฟล์ไว้ในเครื่อง
- ต้องระวังเรื่องการสำรองข้อมูล
- ไม่ค่อยได้รับความนิยมในปัจจุบัน
- ไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
- มีความปลอดภัยสูงกว่า Hot Wallet
- เหมาะสำหรับการเก็บสินทรัพย์ระยะยาว
2.1 Hardware Wallet
- เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เฉพาะ
- ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์เพื่อทำธุรกรรม
ตัวอย่างเช่น Trezor, Ledger เหมาะสำหรับการเก็บสินทรัพย์มูลค่าสูง
2.2 Paper Wallet
- เก็บข้อมูลในรูปแบบกระดาษ
- ใช้ QR Code หรือ Seed Phrase ในการเข้าถึง
- ปลอดภัยจากการแฮก
- ต้องระวังการเก็บรักษาเอกสาร
- นักลงทุนส่วนใหญ่มักใช้ทั้ง Hot Wallet และ Cold Wallet ร่วมกัน โดย:
- ใช้ Hot Wallet สำหรับการทำธุรกรรมประจำวันและการลงทุนระยะสั้น
- ใช้ Cold Wallet สำหรับเก็บสินทรัพย์ระยะยาวและสินทรัพย์มูลค่าสูง
Hot Wallet
- ไม่ควรเก็บสินทรัพย์มูลค่าสูงเกินไป
- ระวังการติดมัลแวร์และไวรัส
- เก็บรักษา Private Key ให้ปลอดภัย
Cold Wallet
- ต้องเก็บรักษาอุปกรณ์หรือเอกสารให้ดี
- สำรองข้อมูลสำคัญอย่างปลอดภัย
- ระมัดระวังในการพกพาอุปกรณ์
การเลือกใช้กระเป๋าเงินคริปโตที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล โดยควรพิจารณาจากวัตถุประสงค์การใช้งาน ความถี่ในการทำธุรกรรม และมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ต้องการเก็บรักษา การใช้งานทั้ง Hot Wallet และ Cold Wallet ร่วมกันอย่างเหมาะสมจะช่วยให้การบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น