"วิศิษฐ์" ชี้ฟันด์โฟลว์นิ่ง ลุ้นเฟดลดดอกเบี้ย-การเมืองไทยลงตัว

16 ส.ค. 2567 | 06:30 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ส.ค. 2567 | 07:28 น.

"วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล" ชี้ฟันด์โฟลว์ไหลออกตลาดหุ้นไทยมีหลายปัจจัย ที่ฟันด์โฟลว์นิ่ง ด้วยปัจจัยรอบทสรุปการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เฟดลดดอกเบี้ย และความชัดเจนฟอร์มทีมตั้งรัฐบาลชุดใหม่

จากประเด็นร้อนแรงที่ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยบทสรุปให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดบทบาทลง ทำให้ตลาดหุ้นไทยร่วงลงตอบรับข่าวในทันที จากความกังวลของนักลงทุนว่านโยบายต่างๆ ที่เคยวาดไว้ อาจเป็นเพียงความฝัน และกังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไปอยู่ในสุญญากาศเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง

หลังจากที่รัฐบาลพยายามผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเลตมาโดยตลอด จนมาถึงช่วงเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนกันเรียบร้อย แต่เหตุการดันพลิกล็อก ประชาชนกังวลว่าโครงการดังกล่าวจะไม่เกิด หากว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขนาดนักลงทุนไทยยังหวั่นใจขนาดนี้ แล้วต่างชาติจะมองอย่างไร...

แม้ว่าหลังจากที่มีข่าว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สิ้นสุดทางไปต่อของนายกฯ เศรษฐา ในวันที่ 14 ส.ค.2567 จะเห็นแรงซื้อสุทธิอ่อนๆ ของกระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ประมาณ 440 ล้านบาท แต่ในวันที่ 15 ส.ค. 2567 ดูเหมือนว่าข่าวดังกล่าวมีการอัพเดทแล้ว ทำให้ Fund Flow พลิกมาขายสุทธิราว 516 ล้านบาท

ในสถานการณ์ที่การเมืองไทยยังไม่มีความแน่นอน และรอบทสรุปของการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ใครจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย แล้ว Fund Flow จากที่ไม่ค่อนเข้ามาเยือนตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว จากนี้ไปจะยังเมินตลาดหุ้นไทยต่อหรือไม่ ฐานเศรษฐกิจ ได้สอบถามข้อมูลจากกูรู ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด

โดย ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล เปิดเผยว่า ภาพรวมหากไม่นับรวมประเด็นการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย กระแสเงินลงทุนต่างชาติทั่วโลกนั้น อยู่ในลักษณะที่ค่อนข้างนิ่งอยู่แล้ว ซึ่งก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้การลงทุนของต่างชาติชะลอตัวลง ทั้งในเรื่องของการเข้าใกล้ช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ซึ่งเป็นปกติของทุกครั้งที่ Fund Flow จะนิ่งเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อน รวมถึงนักลงทุนส่วนใหญ่จับตารอดูท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต่อโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังปี 2567 นี้ ซึ่งมีผลกับ Fund Flow หรือมีน้ำหนักของการชะลอตัวที่ค่อนข้างมากกว่า

สังเกตได้จากเริ่มเห็นกระแสเงินลงทุนไหลเข้ามาซื้อพันธบัตรไทย ทำให้คาดการณ์ว่ามีโอกาสที่การปรับลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นแน่ ถ้าไม่ใช่ครั้งนี้ก็อาจจะเป็นครั้งถัดไป ซึ่งเป็นธรรมชาติการการลงทุนจะหันหน้าเข้าหาช่องทางที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยหากว่าเฟดมีการลดดอกเบี้ยก็จะทำให้ Fund Flow ไหลเข้ามายังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

ปัจจัยการเมืองในประเทศไทยเองก็มีส่วนด้วยเช่นกัน เมื่อยังไม่มีความชัดเจนความเชื่อมั่นก็ดูเหมือนจะถูกลดทอนลงไปด้วย ซึ่งในวันที่ 16 ส.ค.2567 จะมีการเปิดสภาโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และฟอร์มทีมตั้งรัฐบาลชุดใหม่ หากว่าพรรคเพื่อไทยยังได้เป็นแกนนำรัฐบาลต่อไปเชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยก็จะผ่อนคลายลงด้วย นอกจากนี้ Fund Flow ยังเฝ้ารอผลการประชุมของ กนง. 

ทั้งนี้ ในระยะสั้น ให้ระวังในช่วงวันที่ 30 ส.ค.2567 เพราะเป็นนัดของ MSCI Index ที่จะรีบาลานซ์ ซึ่งหุ้นไทยเป็นที่น่าเสียดายที่ในครั้งนี้ไม่มีหุ้นไทยเข้าไปเพิ่มขึ้น โดยคาดว่ามูลค่ารวมๆ ที่ลดลงกว่า 300-320 ล้านดอลลาร์ เป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ Fund Flow ชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

นอกจากนี้ กระแสเงินลงทุนของนักลงทุนไทยก็ดูเหมือนจะเริ่มลดพอร์ตต่างประเทศลง สังเกตได้จากตราสารอนุพันธ์ (Derivative) ที่ครบอายุแล้ว แต่นักลงทุนไทยจำนวนมากไม่มีการ Rollover ต่อ และหันมาลงทุนในกองทุนที่มีกำหนดอายุโครงการ (Term Fund) ตราสารหนี้ระยะสั้นแทน

หรือกล่าวอีกนับหนึ่งคือ บรรยากาศในการลงทุนยังไม่เอื้อให้ Fund Flow ไหลเข้า ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกันเกือบทุกตลาดหุ้นทั้งฝั่งเอเชีย สหรัฐฯ และยุโรป อย่างไรก็ตาม มองว่าหลังจากที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้วเสร็จ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือน ก.ย.2567 ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลง และจะเริ่มเห็นการ กลับมาของ Fund Flow อย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/2567

สำหรับบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่รัฐบาลเกิดสุญญากาศ ยังหาผู้นำคนใหม่มาแทนไม่ได้ ความน่าสนใจในการลงทุนก็ลดลง แต่มองในแบบโลกสวยคือ ก็ดีที่ทำให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูก มีทั้งกองทุนรวมวายุภักษ์ และกองทุน Thai ESG  และบางบริษัทหลักทรัพย์เริ่มออกกองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ เป็นอีกทางเลือกการลงทุนระยะสั้น เขามาช่วยหนุน

มองว่าในระหว่างการฟอร์มทีมตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงบทสรุปการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะกดดันให้บรรยากาศในการลงทุนตลาดหุ้นอยู่ในช่วงซึมตัวช้าๆ แบบนี้ไปอีก 1 ไตรมาส แต่อย่างไรก็ดี ต้องจับตาความชัดเจนในการฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่ ที่จะได้ข้อสรุปในวันที่ 16 ส.ค.2567 เชื่อว่าจะช่วยคลายความกังวล และหนุนให้บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยขยับตัวดีขึ้น