SCGD ยอดขายไตรมาส 2/67 โตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ 6.7 พันล้าน

10 พ.ค. 2567 | 14:14 น.
อัปเดตล่าสุด :10 พ.ค. 2567 | 14:26 น.

SCGD ฉายภาพไตรมาส 2/67 ยอดขายโตกว่าไตรมาสก่อนที่ 6.7 พันล้าน แม้มีวันหยุดยาวเทศกาลกดดันวันขายลดลง ย้ำมุ่งเน้นการทำกำไร พร้อมเดินหน้าลงทุนสร้างโรงงานเซรามิกแห่งใหม่ทางตอนใต้ประเทศเวียดนาม

นายสมิทธิ โกสีย์เจริญ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมยอดขายในช่วงไตรมาส 2/2567 คาดว่าจะมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 ที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 6,784 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 257 ล้านบาท แม้ว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 ประเทศไทยจะมีวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้วันที่สามาถจำหน่ายได้ลดลง แต่ในตลาดประเทศอื่นๆ ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ยังคงมีการขยายตัวได้ดี แม้ว่ากำลังซื้อจะยังไม่ฟื้นตัวนัก

โดยบริษัทยังคงมีแผนในการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายและสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น สร้างความแข็งแรงให้กับช่องทางการจัดจำหน่ายในกลุ่มประเทศหลัก และรักษาส่วนแบ่งการตลาดและความเป็นผู้นำได้ต่อไป อย่างไรก็ดี แผนการดำเนินงานของบริษัทนั้นอาจไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องของการเพิ่มยอดขายมากนัก แต่มุ่งเน้นที่การรักษาระดับอัตรากำไรมากกว่า หากไปดูงบในไตรมาสหนึ่งขะเห็นว่าแม้ยอดขายย่อตัวลงแต่กำไรกลับดีขึ้น

พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีโครงการลงทุนในเวียดนามที่จะทยอยแล้วเสร็จ และดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามแผนงานภายในปี 2567 ได้แก่ โครงการผลิตสินค้ากลุ่มกระเบื้องพอร์ซเลน และกระเบื้องขนาดใหญ่ อีก 2.2 ล้านตารางเมตรต่อปี ในแถบทางตอนกลางของเวียดนาม คาดเริ่มเดินสายการผลิตได้ในเดือนสิงหาคม ปี 2567 และโครงการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลน ขนาด 9.1 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคเหนือของเวียดนาม ซึ่งจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในเดือนธันวาคมปี 2567

นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีความสนใจในการขยายการลงทุนสร้างโรงงานเซรามิกแห่งไปในแถบทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามเพิ่มเติม เพื่อรองรับการขยายตลาดที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ในส่วนการลงทุนในประเทศไทยนั้น บริษัทมีแผนการลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยี และเครื่องจักร สำหรับผลิตสินค้าเกรซพอร์ซเลน (Glazed Porcelain) ที่โรงงานหนองแค 2 มูลค่าเงินลงทุนรวมราว 80 ล้านบาท คาดเริ่มเดินสายการผลิตภายในสิ้นปี 2567 เป็นต้นไป

ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมุ่งเน้นการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงยกระดับกระบวนการผลิตเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านโครงการลงทุนเพิ่มเติมที่สำคัญของบริษัท ประกอบด้วยโครงการลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน และลดต้นทุนพลังงาน จำนวน 5.5 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 140 ล้านบาท ซึ่งคาดแล้วเสร็จ 4.0 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 1/2568 และ 1.5 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 2/2568

และโครงการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารคลังสินค้า โดยติดตั้งระบบการบริหารคลังสินค้า (One WMS) และ รถยกระบบอัตโนมัติ (Smart Forklift) มูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2568