เศรษฐกิจชะลอ ดอกเบี้ยขาลง ดันราคาทอง-คริปโตพุ่ง

09 มี.ค. 2567 | 10:52 น.
อัปเดตล่าสุด :09 มี.ค. 2567 | 10:52 น.
545

ดอกเบี้ยขาลง หนุน “ทองคำ-บิตคอยน์” ราคาพุ่ง สมาคมค้าทองคำชี้ ทองในประเทศมีโอกาสแตะ 38,000 บาท แต่ระวังเฮดจ์ฟันด์เทขายทำกำไรระยะสั้น ลุ้น Gold Spot ขึ้นต่อแตะ 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ บิตคอยน์พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 69,200 ดอลลาร์สหรัฐ

ทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกขาลง หลังอัตราเงินเฟ้อปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนไหลไปมายังสินทรัพย์อื่น อย่างทองคำและคริปโตมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ระดับ 2,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์เพิ่มขึ้นว่า 4.50% จากต้นปี ขณะที่ราคา Bitcoin แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 69,200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2.46 ล้านบาทเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567

ส่วนราคาทองคำในประเทศปรับเพิ่มขึ้น 1,400 บาทต่อบาททองคำในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาและเพิ่มขึ้นถึง 2,300 บาทต่อบาททองคำจากต้นปี ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 4.54% จากระดับ 34.14 บาทต่อดอลลาร์จากสิ้นปี 2566 มาอยู่ที่ระดับ 35.69 บาทต่อดอลลาร์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2567 

เศรษฐกิจชะลอ ดอกเบี้ยขาลง  ดันราคาทอง-คริปโตพุ่ง

 

ระวังเฮดฟันด์ขายทำกำไร

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มราคาทองคำมีโอกาสจะเห็นขยับแตะ 38,000 บาทในช่วงไตรมาส3-4 ของปีนี้ แต่ราคาระยะสั้นยังผันผวนและปรับราคาขึ้นหรือลงค่อนข้างเร็ว ดังนั้นอยากเตือนผู้ลงทุนให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะมีโอกาสที่ทางกองทุนโดยเฉพาะกองทุนยุโรป (เฮดจ์ฟัน) จะเทขายกองทุนออกมาเพื่อทำกำไร

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ

สอดคล้องกับนางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ภาพของทองคำในระยะยาวของปี 2567 ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยเป้าหมายทั้งปี YLG ยังคงให้ไว้ที่ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เนื่องจากในครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง และตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะดำเนินนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยตํ่าไปต่อเนื่อง 2-3 ปี

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

ดังนั้นภาพใหญ่ 2- 3 ปี ทองคำจึงยังคงเป็นบวก แต่ระยะสั้นอาจมีแรงเทขายทำกำไรสลับออกมา หลังจากที่ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่แล้ว

ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% เดินหน้าทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยราคาทำระดับสูงสุดใหม่ที่ระดับ 36,350 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งนอกจากจะได้รับปัจจัยหนุนเช่นเดียวกับทองคำในตลาดโลก แล้ว ยังได้รับอานิสงส์มาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอยู่ใกล้โซน 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ทองไทยโอกาสแตะ 4 หมื่นบาท

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก (MTS) กล่าวว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มจะเหวี่ยงเพิ่มขึ้นได้อีก โดย Gold Spot ขณะนี้อยู่ที่ 2,140 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มีโอกาสจะปรับขึ้นได้อีก 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยครึ่งปีหลังจะเห็นราคาอยู่ที่ประมาณ  2,280- 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนทองคำไทยก็มีโอกาสจะปรับเพิ่มแตะ 38,000-40,000 บาท

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก

“ราคาทองคำไทยตอนนี้เพิ่มขึ้นแล้วราว 7% หรือราว 2,500 บาทต่อบาททองคำ เฉพาะ 4 วันที่ผ่านมา ราคาดีดขึ้นเยอะประมาณ 1,000 บาทต่อบาททองคำ ส่วน Gold Spot ราคาปรับเพิ่มมา 3.5-4% สาเหตุจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาในช่วงหลังอ่อนแอลง บวกกับตลาดคาดว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยจากเดิมที่คาดว่าจะเลื่อนออกไป ทำให้ราคาทองคำดีดขึ้นมา” นพ.กฤชรัตน์กล่าว

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ช่วง 4 วันก่อนที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นนั้น ดอลลาร์เกือบจะทรงตัว ซึ่งปกติเวลาราคาทองคำเพิ่มขึ้น เงินดอลลาร์ต้องอ่อนค่า แต่เพิ่งจะอ่อนค่าบ้างเล็กน้อยเมื่อวันที่ 6 มีนาคมประมาณ 0.4% โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) จาก 103.8จุด ย่อลงใกล้ระดับ 103.29 จุด ส่วนเงินบาทแข็งค่าไม่มากจาก 35.94 เป็น 35.72 บาทต่อดอลลาร์

โดยองค์รวม ทองคำตลาดโลกแนวโน้มยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นจากที่ขยับเพิ่มมาแล้ว 4% โดยประเมินว่า โอกาสจะขึ้นต่อไม่น้อยกว่า 10% แต่อาจจะค่อยๆปรับขึ้น เพราะที่ผ่านมา ราคาเหวี่ยงขึ้นมากแล้ว รอจังหวะย่อตัวค่อยเข้าซื้อดีกว่า แต่ยอมรับว่า หลายครั้งที่รอแล้วราคาทองก็ไม่ย่อลงมา โดยจะเห็นว่า 4 วัน ที่ผ่านมาราคาทองทรงตัวแล้วปรับขึ้น ไม่ย่อลงเลย    

อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ Wait & See ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะราคาทองคำที่ปรับขึ้นมาเร็ว ส่วนเฮดจ์ฟันด์ได้ทยอยขายไปค่อนข้างมากแล้วที่ผ่านมา เห็นได้จากคืนวันที่ 6 มีนาคม ขายออกทองคำ 4 ตัน แต่ราคาทองกลับเพิ่มสวนขึ้นมาอีก 20 ดอลลาร์สหรัฐ โดยรวมช่วง 2 เดือนปีนี้ กองทุน SPDR ขายทองคำออกมาแล้ว 61 ตัน ถือว่าเยอะมาก เมื่อเทียบกับปีที่แล้วทั้งปีขายออกเพียง 39 ตัน

Gold Spot อาจถึง 2,200 ดอลลาร์

นายวรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี กรรมการบริษัทห้างขายทอง จินฮั้วเฮง จำกัดกล่าวว่า ส่วนตัวมองมีความเป็นไปได้ที่ Gold Spot จะขยับแตะ 2,200 ดอลลลาร์ต่อออนซ์ หลังคืนวันที่ 6 มีนาคม ราคาขึ้นมาอยู่ที่ 2,140 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากจะเพิ่มอีก 60 ดอลลาร์ไม่น่าจะยาก และหากจะมองจากปัจจัยพื้นฐานขณะนี้ ยังไม่มีจังหวะที่ราคาทองคำย่อลง เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกมีความไม่แน่นอน บวกสถานการณ์สงครามที่ตลาดยังกังวลต่อหากขยายวง ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ไม่ดี ยิ่งหนุนราคาทองคำ เพราะปัจจุบันขนาดเฟดยังไม่ลดดอกเบี้ย ราคาทองยังเพิ่มขึ้นนาดนี้ หากเฟดปรับดอกเบี้ยลงจริง ราคาทองจะยิ่งเพิ่มขึ้น

นายวรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี กรรมการบริษัทห้างขายทอง จินฮั้วเฮง จำกัด

อย่างไรก็ตาม ถ้าราคาทองคำจะลดลงมาจริงๆก็เพราะที่ผ่านมาราคาทองคำวิ่งขึ้นมาเร็ว เพียงแต่ไม่รู้จังหวะว่าเฮดจ์ฟันต่างๆ จะพอใจเทขายในระดับราคาใด ดังนั้นผู้ลงทุนต้องศึกษาตลาดและเพิ่มความระมัดระวังอย่างมาก แต่ส่วนตัวมองว่า ราคาทองตอนนี้ปรับขึ้นมาแพงแล้ว ซึ่งจริงๆรอบนี้ ทองคำราคาปรับขึ้นมาเร็วมาก หากจะเข้าซื้อตอนนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างช้า แค่สัปดาห์เดียวราคาขึ้นมา 1,400 บาท

หากย้อนดูสถิติราคาทองคำ 5ปีที่ผ่านมา พบว่า เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ย 7-8% และระหว่างปีในแต่ละปีมีความน่าจะเป็นว่า ราคาทองคำขยับขึ้นมา 3,000 บาท โดยเฉพาะความต้องการซื้อทองคำทั้งธนาคารกลางทั่วโลก หรือกรณีการอายัดพันธบัตรจากการแซงชั่นทางการเมืองทำให้แต่ละประเทศหันมาถือทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ดีที่สุด ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และต่อให้เฟดยังไม่ลดดอกเบี้ยคนยังมองว่าราคาทองคำยังขยับ

“ราคา Gold Spot ทองคำนิวไฮเดิมถูกทำลายลงที่ระดับ 2,148 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับราคาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นแนวโน้มนิวไฮใหม่จะไม่มีเพดาน ซึ่งทางเจพีมอร์แกนคาดว่าปีนี้ จะเห็น Gold Spot ที่ 2,200 ดอลลาร์ ส่วนตัวมองว่า น่าจะเห็นในเร็วๆนี้ ซึ่งหากค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.55บาทต่อดอลลาร์ก็จะเห็นราคาทองคำในประเทศอยู่ที่ประมาณ 36,800 บาท จากวันที่ 6 มีนาคมช่วงเช้า ราคาทองคำในประเทศทำนิวไฮที่ 36,100บาท ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.84 บาทต่อดอลลาร์"นายวรชัยกล่าวทิ้งท้าย

บิตคอยน์ใกล้ทำราคาสูงสุดใหม่

นายสัญชัย ปอปลี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการคำปรึกษาและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนใน Bitcoin spot ETF จึงมีเม็ดเงินใหม่จากกลุ่มนักลงทุนสถาบันไหลเข้าสู่ตลาด ทำให้ราคาของบิตคอยน์ เมื่อเทียบกับสกุลเงินบาทและสกุลอื่น ๆ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 69,200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2.46 ล้านบาท ก่อนถูกเทขายร่วงลงมา

นายสัญชัย ปอปลี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด

ทั้งนี้ ราคาบิตคอยน์ปัจจุบัน อยู่ที่ 65,000 ดอลลาห์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2.3 ล้านบาท ใกล้จะทดสอบ All time high อีกครั้ง ทำให้มีโอกาสเกิดแรงเทขายระยะสั้น สวนทางกับพื้นฐานและข่าวดีที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในระยะต่อไปยังมีแนวโน้มดีดตัวขึ้นไปต่อได้ โดยคาดว่าราคาบิตคอยน์จะวิ่งไปแตะที่ 70,000-75000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.4-2.6 ล้านบาท

“ขณะนี้สัญญาณที่เห็นทั่วโลก มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามามาลงทุนคริปโตมากขึ้น ดูได้จากยอดดาวน์โหลดแอป Coinbase ในแอปสโตร์ ที่ตอนนี้อยู่อันดับที่ 49 จากเดิมอันดับกว่า 200 ซึ่งในไทยมีนักลงทุนหน้าใหม่สนใจเข้ามาลงทุนในคริปโตมากขึ้น อย่างไรก็ตามต้องเลือกจังหวะการลงทุนที่เหมาะ โดยตลาดขึ้นแรง ๆ ทำ All time high ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งช่วงนี้ราคาค่อนข้างสวิงไปมา ซึ่งมองว่าจะมีการปรับฐานเพื่อไปต่อ ซึ่งภาพรวมมองว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สามารถทยอยสะสมหลังจากการปรับฐานครั้งนี้”

2เหตการณ์หนุนราคาคริปโต

ด้านนายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัดกล่าวว่า ภาพรวมตลาดคริปโตยังมีแนวโน้มที่สามารถเติบโตได้สูงและน่าจับตามองในเดือนมีนาคม เนื่องจากกระแสเงินไหลเข้า Bitcoin หลังอนุมัติ Spot ETF สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ (22-29 ก.พ.) พบว่า มีเม็ดเงินไหลเข้า Bitcoin spot ETF เฉลี่ย 391 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน เมื่อพิจารณาร่วมกับ Supply ของ Bitcoin ที่ถูกขุดออก มาได้วันละ 930 BTC ที่ราคา 60,000 ดอลลาร์ สหรัฐต่อ 1 BTC พบว่ามี Bitcoin ถูกขุดเป็นมูลค่า 55.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ทำให้เม็ดเงินใหม่ที่ไหลเข้า Bitcoin spot ETF นั้นสูงกว่า Bitcoin ที่ถูกขุดต่อวันถึง 6 เท่า

นายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด

ขณะที่การเข้าซื้อ BTC มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Whale wallet ในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีแรงซื้อ Bitcoin ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เกิดขึ้น 205,000 BTC ในราคาเฉลี่ย 44,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 BTC มากไปกว่านั้นมีแรงซื้อของนักลงทุนรายใหญ่เกิดขึ้นกว่า 204,000 BTC ในราคาเฉลี่ย 51,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 BTC ดังนั้น ข้อมูลนี้จึงแสดงถึงความมั่นใจของนักลงทุนรายใหญ่ที่มีต่อ Bitcoin แม้ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่มีโอกาสส่งผลต่อมูลค่า ETH แม้มูลค่าของ ETH จะปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 53% ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ระยะกลางยังมีอีก 2 เหตุการณ์สำคัญคือ

  1. การอัพเกรด EIP-4844 ในวันที่ 13 มีนาคม 2567 เป็นผลให้การทำงานของ Ethereum chain (ERC-20) เร็วขึ้นและค่าธรรมเนียมตํ่าลง
  2. การตัดสิน Final deadline ของ Ethereum spot ETF ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม  โดยหากพิจารณาจาก Bitcoin จะพบว่าการอนุมัติ Bitcoin spot ETF เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าของ BTC เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

 

หน้า 1  หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 3,973 วันที่ 10 - 13 มีนาคม พ.ศ. 2567