เจพีมอร์แกนชี้ดัชนีSETใกล้จุดต่ำสุด สิ้นปีเห็น1,700 จุด

24 ม.ค. 2567 | 17:26 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ม.ค. 2567 | 10:46 น.

เจพีมอร์แกน มองดัชนีตลาดหุ้นไทยถึงจุดต่ำสุด การฟื้นตัวตลาดหุ้นต้องใช้เวลา มองบวกท่องเที่ยว-บริโภคไทยฟื้น แบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ย 1 ครั้ง หนุนตลาดหุ้น ชี้สิ้นปี 67 เห็นดัชนีทะยานแตะ 1,700 จุด พร้อมคาด GDP ไทยปีนี้โต 3.7% ประเด็นโรบอตเทรดควรมี อย่าให้ต่างชาติมองไทยล้าหลัง

KEY

POINTS

  • เจพีมอร์แกน ประเทศไทย มองดัชนี SET 1,400 จุด ใกล้จุดต่ำสุด อาจต้องใช้ระยะเวลาฟื้นตัว และคาดว่าสิ้นปี 2567 ได้เห็นขยับแตะ 1,700 จุด
  • ปัจจัยเชิงบวกมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่คาดว่าจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเช่นกัน
  • เจพีมอร์แกน ประเมินว่าตัวเลข GDP ไทยในปี 2566 จะอยู่ที่ 2% และในปี 2567 โตยราว 3.7% 

นายมาร์โค สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท เจพีมอร์แกน ประเทศไทย เปิดเผยว่า มองดัชนีตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันแถว 1,400 จุด ใกล้จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว (Buttom line) และคาดว่าสิ้นปี 2567 ดัชนีจะกลับมาแตะที่ระดับ 1,700 จุดได้ โดยมองว่าจะเป็น Neutral Rebound จากฐานที่ต่ำลงไปมากแลัวในช่วงที่ผ่านมา ในส่วนปัจจัยเชิงบวกนั้น หลักๆ มาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และคาดว่าจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้

ทำให้มองว่าแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตามในปี 2567 นี้มีความเป็นไปได้ สำหรับประเด็นที่ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยในไทยลงนั้นจะเป็นผลมาจากแรงกดดันทางการเมืองด้วยหรือไม่ มองว่าแบงก์ชาติเองเป็นหน่วยงานที่ไม่มีใครสามารถไปกดดันได้ การที่จะปรับขึ้นหรือลดดอกเบี้ยเป็นไปตามความเหมาะสมตามสถานการณ์มากกว่า แต่อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยไทยในปัจจุบันหากเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียแล้วก็ยังนับว่าต่ำกว่า

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่ามีโอกาสที่แบงก์ชาติจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ได้เห็น 1 ครั้งในปีนี้ และมีความเป็นไปได้ว่าจะเห็นความชัดเจนเร็วกว่าที่คลาดคาดการณ์

นอกจากนี้ จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ ทั้งการเปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวอินเดียและจีน รวมไปถึงเกาหลี คาดว่าจะช่วยผลักดันภาคการท่องเที่ยวประเทศไทยกลับมามีความคึกคักอีกครั้ง เติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น ต้องยอมรับว่า GDP ไทยสัดส่วนกว่า 18-19% มาจากภาคการท่องเที่ยว และนโยบายการปรับลดภาษีไวน์ มองว่าเป็นเรื่องที่ดี ช่วยกระตุ้นการบริโภคของชาวต่างชาติได้มากขึ้น เพราะปัจจุบันราคาไวน์ในไทยค่อนข้างสูง

ขณะเดียวกันจากการที่นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้เดินทางไปเจรจากับต่างประเทศอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าจะเห็นการกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของต่างชาติ หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ไทยค่อนข้างที่จะแข็งแรงกว่า เพียงแต่จากนี้ไปภาพรัฐต้องหาทางสร้างความเชื่อมั่นในสายตาต่างชาติให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาการที่ไทยขัดแย้งกันเองทำให้ต่างชาติลดความเชื่อมั่นในการลงทุนในไทยลงไป

กรณีการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้น มองว่าการที่ตลาดจะฟื้นตัวอาจต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งการลดลงของดัชนีก็เป็นเทรนด์ที่ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นไทยที่โดน ตลาดหุ้นในหลายประเทศก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่ที่มันร้อนแรงมากในช่วงนี้ คือ ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่ประกาศออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดการขายออกของนักลงทุน แต่เชื่อว่าในอนาคตกลุ่มแบงก์จะมีการเติบโตที่ดีและมีความน่าสนใจในการลงทุนอยู่

สำหรับประเด็นที่มีตัวเลขหลุดมาว่า GDP ไทยในปี 2566 จะโตในระดับต่ำเพียง 1.8% และในปี 2567 จะขยายตัวขึ้นมาที่ 2.7% นั้น ทางเจพีมอร์แกน ประเมินว่าตัวเลข GDP ไทยในปี 2566 จะอยู่ที่เฉลี่ย 2% และในปี 2567 จะมีการเติบโตที่เฉลี่ยราว 3.7% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศที่มีการฟื้นตัว การกลับเข้ามาลงทุนในไทยของต่างชาติ

โดยการเติบโตของ GDP ที่ทางเจพีมอร์แกนคาดการณ์นั้น ยังไม่นับรวมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าภาครัฐจะทำได้จริงหรือไม่ และจะเกอดขึ้นได้เมื่อไหร่ และหากว่าตัวเลข GDP ไทยสามารถเติบโตได้ในระดับ 3.7% ได้จริง จะนับว่าอัตราการเตอบของ GDP ไทยสูงสุดในรอบ 5 ปี เมื่อเทียบกับ GDP โลก แต่ยังไม่ใช่สูงที่สุด

ส่วนเรื่องของโรบอตเทรด มองว่าหากไทยไม่มีจะล้าหลังกว่าต่างประเทศ เพราะส่วนใหญ่ต่างประเทศก็มีการใช้ระบบนี้กันเกือบหมดแล้ว และหากว่าไม่มีระบบดังกล่าวอาจกระทบต่อความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทยเพราะระบบแบบเดิมอาจไม่เอื้ออำนาจเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าการจะใช้โรบอตเทรดต้องมีเงินลงทุนระบบที่สูงมาก ทำให้มีเพียงโบรกรายใหญ่ที่มีการใช้งาน

 และจากการซื้อ-ขาย ที่เป็นไปอย่างรวดเร็วอาจไปกระทบต่อรายย่อย และโบรกรายอื่นที่ไม่ได้มีการใช้โรบอตเทรด เพราะโรบอตเทรดทำให้กระบวนการทำงานรวดเร็วมากขึ้น ดังนั้น จึงมองว่าเมื่อมีคนหนึ่งได้ อีกคนหนึ่งก็ต้องเสีย เนื้องจากการซื้อหรือขายของแต่ละโบรกไม่เหมือนกัน