เปิดปมขัดแย้ง 2 กลุ่มผู้บริหาร NUSA "วิษณุ เทพเจริญ VS ประเดช กิตติอิสรานนท์"

26 ธ.ค. 2566 | 19:56 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ธ.ค. 2566 | 20:34 น.
923

"วิษณุ-ศิริญา เทพเจริญ" ตั้งโต๊ะแถลงแจงปมขัดแย้ง "ประเดช กิตติอิสรานนท์" ปฏิเสธข่าวการขายทรัพย์สิน NUSA ต่ำกว่าราคาตลาด ยืนยันเป็นการขอมติบอร์ดขายทรัพย์สิน 6 รายการ ซึ่งไม่ใช่การขายทั้งหมด และไม่มีการทุจริต แต่หวังพลิกฟื้นบริษัทฯให้กลับมามีกำไร

วันนี้ 26 ธ.ค.2566 นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานกรรมการ และ นางศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA เปิดแถลงข้อเท็จจริงในประเด็นที่สังคมกำลังรอคอยคำตอบ รวมถึงปมการบริหารองค์กรที่ไม่สามารถประสานกันได้ ของ "กลุ่มนายวิษณุ เทพเจริญ และ กลุ่ม นายประเดช กิตติอิสรานนท์ ในการบริหาร ณุศาศิริฯ" พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงและเปิดเผยทุกข้อสงสัย กรณีความขัดแย้งกับนายประเดช กิตติอิสรานนท์ ผู้บริหาร บริษัท วิน เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ดังนี้

1.การยื่นขอเปิดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น NUSA ตามมาตรา 100 ตาม พ.ร.บ.มหาชนฯ ของ บริษัท ธนา พาวเวอร์' นั้น ไม่เป็นไปตาม ม.100 จึงขอยกเลิกสัญญาฯ 'นายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ' พ้นตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ แต่งตั้ง 'นายวิษณุ เทพเจริญ' ขึ้นรักษาการแทน โดยได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ชี้แจงมติการแต่งตั้งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 แล้ว

ดังนั้น บริษัทฯจึงขอแจ้งการพ้นตำแหน่งของ นายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ ตั้งแต่วันที่ยุติสัญญา ซึ่งคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติรับทราบการยกเลิกสัญญาระหว่าง NUSA กับ WEH ฉบับลงวันที่ 3 ต.ค. 2566 และมีมติเสียงข้างมากให้แต่งตั้งนายวิษณุ เทพเจริญ ดำรงตำแหน่ง รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2566 ในคราวประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 12/2566

 

2. กรณี “นายประเดช กิตติอิสรานนท์” นำทีม 6 กรรมการ NUSA ประกอบด้วย 1.นายประเดช กิตติ อิสรานนท์ 2.นายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ 3.นายไพโรจน์ ศิริรัตน์ 4.นายมานพ ถนอมกิตติ 5.นายนพพล มิลินทางกูร และ 6.นายชาติชาย พยุหนาวีชัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท และกรรมการ 7 คนของ NUSA ที่นำโดย “วิษณุ เทพเจริญ” ประกอบด้วย 1.บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) 2.นายวิษณุ เทพเจริญ 3.นายสมพิจิตร ชัยชนะจารักษ์ 4.นางศิริญา เทพเจริญ 5.นายสมคิด ศริ 6.นางสิรินงคร์นาถ เพรียวพานิช 7.นายพิบูลย์ วรวรรณปรีชา และ 8.นายธีรธัช โปษยานนท์ ในการที่สนับสนุนให้ผู้บริหารเทขายทรัพย์สินบริษัทล็อตใหญ่ 6 รายการมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท หรือเกือบ 70% ของทรัพย์สินทั้งหมด โดยไม่มีอำนาจและแผนรองรับที่ชัดเจน ชี้ละเมิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ พร้อมขอให้ศาลสั่งเพิกถอนมติขายทรัพย์สินดังกล่าว

กรณีบริษัทฯจะขายทรัพย์ทรัพย์สินในราคาต่ำ

ตามที่ปรากฎตามสื่อว่าบริษัทฯ จะขายทรัพย์สินในราคาต่ำ เช่น โครงการเลเจนด์ ณุศา มันนี่ และชีวานีพัทยา ราคาประเมิน 5,105 ล้านบาท แต่ขาย 845.36 ล้านบาท บริษัทฯขอชี้แจงว่าข้อเท็จจริงไม่เป็นไปตามข่าวแต่อย่างใด

โดยบริษัทฯได้ขอมติบอร์ดไว้ว่าทรัพย์สินที่จะนำออกขายทั้ง 6 รายการ “ให้ขายได้ไม่ต่ำกว่าราคาตลาดหรือมูลค่าทางบัญชี หรือราคาใดราคาหนึ่งที่มีมูลค่าสูงกว่า” จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำทรัพย์สินราคาสูงมาขายในราคาต่ำ อีกทั้งการขายทรัพย์สินทั้ง 6 รายการ เป็นการขออนุมัติในหลักการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติเท่านั้น ไม่ได้เป็นการขายทรัพย์สินทั้งหมด การขายทรัพย์สินเพียง 1-2 รายการก็เพียงพอชำระหนี้และสามารถทำให้บริษัท Turnaround ได้แล้ว

"บริษัทฯขอแจ้งให้ทราบว่ามีความความตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะขายทรัพย์สินให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เพื่อพลิกฟื้นบริษัทฯให้กลับมามีกำไร และไม่ได้มีการทุจริตใดๆทั้งสิ้น

ผู้บริหารได้สร้างบริษัทนี้มากับมือ 20 ปี ไม่มีความคิดที่ไม่ดีให้กับบริษัทที่สร้างมา มีแต่ความตั้งใจจริงที่จะทำให้บริษัทฯพลิกกลับมาอีกครั้ง"

การซื้อโรงแรม Panacee Grand Roemerbad

บริษัทฯได้มีการซื้อโรงแรมดังกล่าวตั้งแต่ก่อนช่วงเกิด Covid-19 และก่อนมีการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อแลกหุ้นกับผู้ถือหุ้น WEH และก่อนที่กลุ่มนี้จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ โดยมีการขออนุมัติบอร์ดซื้อในราคา 20 ล้านยูโร หรือ 740 ล้านบาท ซึ่งขณะนั้นมีการสนับสนุนราคาที่จะซื้อจากการประเมินทรัพย์สินของที่ปรึกษาการเงินอิสระ ที่ประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ซื้อไม่ต่ำกว่า 20 ล้านยูโร บริษัทฯจึงเข้าทำรายการผ่านหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ

จากข่าวที่ออกมาว่าช่วงนี้บริษัทฯจะซื้อ Panacee Grand Roemerbad ให้ได้ จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและบิดเบือน เพราะมีการขออนุมัติซื้อมานานแล้ว และได้โอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของบริษัทฯเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การชี้แจงข่าวในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นการชี้แจงตามประเด็นที่ตลาดฯมีข้อสงสัยจากหมายเหตุประกอบงบเท่านั้น ไม่ได้ยืนยันเรื่องการซื้อขายแต่อย่างใด

สำหรับเหตุผลในการซื้อที่เยอรมัน เนื่องจาก

1. นวัตกรรมการรักษาด้วย stemcell ของเยอรมันไปไกลมาก สามารถรักษาโรคได้ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน มะเร็ง (ลดการใช้เคมี) หลอดเลือด จึงมองเห็นว่าเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจที่มีอยู่ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (โรงพยาบาลพานาซี)

2. ได้มีการทำสนธิสัญญากับทางประเทศจีน ว่าถ้าหากที่เยอรมันเปิด จะมีการส่งลูกค้าคนไข้ไปรักษาที่เยอรมันโดยได้มีการทำสัญญาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นการการันตีรายได้ล่วงหน้า ที่ผ่านการประเมินโดยบริษัทนอก ทางณุศาฯ จึงเห็นสมควรในการซื้อ

โดยในไตรมาส 4 ของปี 2566 พานาซี ได้วางเป้าหมายทางธุรกิจของพานาซี ว่าจะสามารถก้าวเติบโตกว่า 30 % ทั้งในประเทศไทย และกำลังขยายรุกเข้าไปดำเนินกิจการในประเทศจีน ในหลายหัวเมืองใหญ่ และรุกตลาดไปสู่ประเทศแถบตะวันออกกลาง ด้วยความโดดเด่นของโรงพยาบาลพานาซีในด้านสเต็มเซลล์ ทั้งจากการเปิดศูนย์รักษามะเร็งแบบบูรณาการ เพิ่มประสิทธิภาพจากการรักษาด้วย Tumor board ของทีมแพทย์สหสาขาวิชาชีพที่ร่วมกันกำหนดแนวทางในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ประกอบกับชาวต่างชาติเข้ามารักษาโรคกลุ่ม NCDs อาทิ เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง ด้วย Stem Cell มากขึ้น

ปัจจุบันภาพรวมสัดส่วนจำนวนผู้รับบริการชาวต่างชาติ 20-30% จากจำนวนรวมทั้งหมด และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายขยายตลาดผู้รับบริการเล็งเปิดบริการ 20 สาขา ภายใน 3 ปีนี้ทั้งในกลุ่มประเทศอาหรับ และกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน CLMV โดยมุ่งเน้นการรักษามะเร็งแบบบูรณาการ และการรักษาเบาหวานด้วย Stem Cell ที่ได้รับมาตรฐานจากเยอรมันนี ที่จะทำให้พานาซีแตกต่างจากที่อื่น