เกาะติดการลงทุนเพื่อการออมตามเทรนด์แห่งอนาคต

09 ต.ค. 2566 | 15:24 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ต.ค. 2566 | 15:24 น.

เกาะติดการลงทุนเพื่อการออมตามเทรนด์แห่งอนาคต : คอลัมน์มันนี่ดีไอวาย โดย นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด

ที่ผ่านมา เรามักเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น การแพร่ระบาด Covid-19 สงครามการเมือง ภาวะเงินเฟ้อสูง รวมถึงความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจถดถอย ที่ส่งผลกระทบกับเงินในกระเป๋าและการดำเนินชีวิตประจำวัน และเพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ในอนาคต การลงทุนในกองทุนรวม ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการออมเงินที่ให้โอกาสรับผลตอบแทนเหนืออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวม SSF ช่วยโอกาสสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวผ่านธีมการลงทุนระดับโลก พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี 

การลงทุนในหุ้นกลุ่มนวัตกรรมแห่งอนาคต ถือเป็นธีมการลงทุนที่มาแรง และอยู่ในความสนใจของนักลงทุน สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนส่วนมากเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และแนวโน้มที่สามารถทำกำไรได้ในระยะยาว โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เป็น Mega trend ของโลก อย่าง Semiconductor หรือ Electric Vehicle (EV) การลงทุนกับหุ้นกลุ่มนี้ ก็ยิ่งดูจะมีอนาคตที่สดใสสำหรับนักลงทุน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจะเห็นการพัฒนาของนวัตกรรมที่ค่อยๆ เพิ่มขีดความสามารถและเริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คน อีกทั้ง การแพร่ระบาดของ Covid-19 ยิ่งเป็นตัวเร่งพฤติกรรมของผู้บริโภคให้เชื่อมต่อกับเทคโนโลยีโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมและธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็น Internet of Things (IoT), Artificial intelligence (AI) และ 5G เป็นต้น

แม้วิกฤติโรคระบาดจะคลี่คลาย โลกของเราก็ยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการเข้าสู่สภาวะโลกเดือดในปัจจุบัน นั่นทำให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในฐานะจุดเปลี่ยนไปสู่การใช้พลังงานสะอาด เห็นได้จากกระแสความต้องการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) ที่นับวันก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น นวัตกรรมจึงกลายเป็น Mega trend ที่ส่งผลอย่างยิ่งกับเศรษฐกิจ ธุรกิจ และวิถีชีวิตของผู้คนในอนาคต

เกาะติดการลงทุนเพื่อการออมตามเทรนด์แห่งอนาคต

เติบโตไปกับขุมพลังของเทคโนโลยี

จากสถานการณ์จากการแพร่ระบาด Covid-19 เทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนเป็นที่เรียบร้อย โลกดิจิทัลทำให้ผู้บริโภคขาด Smartphone ไม่ได้ เดินทางสู่จุดหมายด้วยยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยี GPS รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต การทำงานที่สะดวกสบายอีกขั้นเมื่อมีหุ่นยนต์และ AI เป็นผู้ช่วย หรือแม้แต่เดินทางสู่จุดหมายด้วยยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยี GPS รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต

ข้อมูลคาดการณ์จาก Statista มองว่า จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระหว่างปี 2024 ถึง 2028 กว่า 1,200 ล้านราย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 21% ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่เกิดขึ้นจาก Mega trend ด้านเทคโนโลยี 

เบื้องหลังนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโลกมีขุมพลังเล็กๆ ซ่อนอยู่ เรียกว่า Semiconductor หรือชิป ที่เป็นหัวใจของนวัตกรรม เมื่อเทคโนโลยีมีแนวโน้มเติบโต ความต้องการ Semiconductor ก็สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ภาพรวมการขยายตัวของตลาด Semiconductor มีโอกาสเติบโตอีกกว่า 100% ในช่วง 10 ปีนับจากนี้ โดยโตขึ้นจาก 467 พันล้านดอลลาร์ เป็น 940 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าอัตราการเติบโตของ GDP โลก ประกอบกับแรงสนับสนุนจากนานาประเทศทั่วโลกที่ต่างมีนโยบายเสริมศักยภาพการผลิต Semiconductor ภายในประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Semiconductor มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

จับทิศทางการลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า

สืบเนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โลกจึงพบกับจุดเปลี่ยนทางนวัตกรรมครั้งสำคัญ นั่นคือ ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อเป็นทางออกให้กับวิกฤติโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนกลายเป็นวาระระดับโลก นานาประเทศจึงพร้อมใจตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2050 ซึ่งการหันมาใช้ Electric Vehicle (EV) ถือเป็นทางเลือกที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หนึ่งในองค์ประกอบของก๊าซเรือนกระจก

ยกตัวอย่างในสหรัฐฯ ที่ออกกฎหมาย Inflation Reduction Act สนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานสะอาดและการให้เครดิตเงินคืนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือในประเทศจีน ที่มีแผนพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 5 ปี หรือกลุ่มสหภาพยุโรปที่เตรียมหยุดการจำหน่ายเครื่องยนต์สันดาปในปี 2035

ด้าน Bloomberg New Energy Finance คาด ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตสูง สัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจาก 14% ในปี 2022 เป็น 30% ในปี 2026 ธุรกิจที่พร้อมเติบโตไปกับเทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ได้มีเพียงผู้ผลิตรถยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ที่ใช้เป็นพลังในการขับเคลื่อน ผู้พัฒนาเซ็นเซอร์ และระบบประมวลผล หรือ Semiconductor ผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งวัสดุต่างๆ สำหรับประกอบชิ้นส่วนยานยนต์ เหล่านี้เป็นธุรกิจที่สอดรับกับเมกะเทรนด์ด้านเทคโนโลยีระดับโลกเช่นกัน

สำหรับผู้ที่ต้องการคว้าโอกาสเติบโตในระยะยาวไปกับธุรกิจที่เป็นอนาคตของมวลมนุษยชาติ การลงทุนในธีมหุ้นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกขณะนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี สามารถพิจารณาลงทุนในรูปแบบกองทุน SSF เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ด้วยเช่นกัน กองทุนแนะนำ ได้แก่

  • SCBSEMI(SSF) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนหลัก VanEck Vector Semiconductor UCITS ETF โดยลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับการออกแบบและผลิต Semiconductor ทั่วโลก เช่น Nvidia TSMC และ ASML เป็นต้น
  • SCBEV(SSF) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนหลัก KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility Index ETF ที่ลงทุนในธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม EV ทั่วโลก ตั้งแต่สายแร่ที่ใช้ในการผลิต สถานีชาร์จ เซนเซอร์ แบตเตอรี่ลิเทียม จนถึงยานยนต์ไฟฟ้า เช่น Tesla BYD และ Xpeng เป็นต้น

กองทุน SSF เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 200,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับ RMF กองทุนเพื่อการเกษียณ (ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. และ กอช.) และประกันบำนาญ ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ และไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี ต้องถือครอง 10 ปีนับจากวันซื้อ (แบบวันชนวัน)

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างวินัยการลงทุน และกระจายความเสี่ยงการลงทุนจากความผันผวนของตลาด การลงทุนอย่างต่อเนื่องแบบถัวเฉลี่ยเงินลงทุนเท่าๆ กันในแต่ละเดือนหรือที่เรียกว่า Dollar-Cost Averaging (DCA) ถือเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ดีและได้รับความนิยมสูงเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว