แอสเซทไวส์ ปิดดีลเข้าถือหุ้นใหญ่ "ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้" 67.71%

05 ก.ย. 2566 | 06:43 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ก.ย. 2566 | 06:56 น.

บมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) ปิดดีลเข้าซื้อ บมจ.ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ด้วยสัดส่วน 67.61% ผงาดขยายตลาดคอนโดภูเก็ต เตรียมลุยเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 5,150 ล้านบาท

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) กล่าวว่า จากมติคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 66 อนุมัติให้บริษัท 39 เอสเตท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ASW ถือหุ้น 99.99% เข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบมจ.ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ (TITLE) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จำนวน 417,169,500 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.79 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TITLE จากผู้ถือหุ้นเดิมในราคาหุ้นละ 2.50 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,042,923,750 บาท พร้อมทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ TITLE (Tender Offer) ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.-31 ส.ค. 66

ล่าสุด ASW ได้ปิด ดีลการเข้าซื้อหุ้นของ TITLE เป็นผลสำเร็จด้วยสัดส่วน 67.61% ซึ่งนับเป็นการลงทุนครั้งสำคัญเพื่อก้าวสู่การขยายตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตที่กำลังฟื้นตัวอย่างโดดเด่น และพร้อมก้าวสู่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในจังหวัดดังกล่าว
 

โดย TITLE เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของจังหวัดภูเก็ต และเป็น 1 ใน 2 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดภูเก็ตที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดำเนินธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมมากว่า 10 ปี ภายใต้แบรนด์ "THE TITLE" ซึ่งแต่ละโครงการล้วนตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ได้แก่ หาดในยาง, หาดราไวย์ และหาดบางเทา และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวต่างชาติ ที่ผ่านมาสามารถปิดการขายแล้วเกือบทุกโครงการ แม้ในสถานการณ์โควิด 19 ระบาดยังสามารถส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้าได้ตามสัญญา แสดงให้เห็นว่า TITLE มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ภายใต้การลงทุนดังกล่าว ASW ยังได้ฐานลูกค้าและเครือข่ายเอเจ้นท์ (Agent) ต่างชาติที่น่าเชื่อถือ รวมถึงทีมผู้บริหาร TITLE ที่มีประสบการณ์ในตลาดคอนโดฯ ภูเก็ต พร้อมทั้งพนักงานที่เข้าใจการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับชาวต่างชาติที่พร้อมจะดำเนินงานต่อได้ทันที

"TITLE เป็นบริษัทที่มีศักยภาพทั้งทีมผู้บริหาร พนักงาน ตัวสินค้า และศักยภาพของที่ดินที่ TITLE มีอยู่ ทำให้ ASW สามารถต่อจิ๊กซอร์สู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตที่เป็นตลาดระดับโลกได้ทันที พร้อมทั้งสามารถต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวจากศักยภาพของจังหวัด และที่ดินที่มีอยู่เดิม ดังนั้นดีลนี้จึงถือเป็นหนึ่งในการลงทุนครั้งสำคัญและเป็นดีล M&A ที่ดีมากดีลหนึ่งของ ASW ในการขยายตลาดอสังหาฯ สู่ภูเก็ตที่เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก" นายกรมเชษฐ์ กล่าว

ปัจจุบันการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตกลับมาฟื้นตัวได้ดี เพราะภูเก็ตเป็นดิสทิเนชั่นของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และเกิดความต้องการที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูเก็ตเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง ล่าสุดรัฐบาลชุดใหม่ นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตพบกับผู้ประกอบการภาคเอกชนหารือเกี่ยวกับประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดภูเก็ต และมีแนวนโยบาย "ฟรีวีซ่า" (Free visa) แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวอินเดีย เพื่อให้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นในช่วงไฮซีซันที่จะถึงนี้ แสดงให้เห็นว่าจะรัฐบาลชุดใหม่จะใช้ภาคการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อจากนี้

ทั้งนี้ ถือเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีของ ASW ที่ได้ขยายฐานตลาดอสังหาริมทรัพย์ไปในจังหวัดภูเก็ตที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ ASW ในอนาคต ล่าสุด ASW จะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของ TITLE คือ โครงการ THE TITLE HALO 1 NAIYANG ที่มียอดขายแล้วถึง 80% จากจำนวน 329 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,517 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในไตรมาส 1/67 และยังมีที่ดินรอการพัฒนาในจังหวัดภูเก็ตอีกกว่า 80 ไร่ สามารถพัฒนาโครงการใหม่ได้ถึง 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 14,000 ล้านบาท

TITLE เตรียมแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปลายปีนี้อีก 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 5,150 ล้านบาท ได้แก่ THE TITLE MORI 1 บริเวณหาดบางเทา มูลค่าโครงการกว่า 3,750 ล้านบาท และ THE TITLE X บริเวณหาดในยาง มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เพื่อตอบรับแนวนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยของรัฐบาลใหม่ในช่วงไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ โดยทั้ง 2 โครงการเป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ (Low Rise ) ซึ่งคาดว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ต่อจากโครงการ THE TITLE MORI 1 เพื่อรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตั้งเป้ารายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า (ปี 67-69) ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งให้ผลให้ ASW ในฐานะบริษัทแม่มีรายได้เติบโตที่แข็งแกร่งเฉลี่ย 20% ต่อปีในอนาคต
 

ASW ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด "ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ" หรือ "We Build Happiness" ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 54 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 63,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 38 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 16 โครงการ ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 14,513 ล้านบาท