กนง.ประชุม 2 ส.ค. คาดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25% และคงถึงสิ้นปี

31 ก.ค. 2566 | 14:25 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ก.ค. 2566 | 14:37 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดประชุม กนง.วันที่ 2 ส.ค.66 กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% สู่ระดับ 2.25% และคาดคงดอกเบี้ยไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ระดับ 2.25% ในการประชุม กนง.วันที่ 2 ส.ค.ที่จะถึงนี้ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ แม้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะลดลงอย่างมาก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีทิศทางฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าในช่วงครึ่งปีแรก 

 

โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่เงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงที่จะเร่งสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ กนง.ยังคงเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) สำหรับอนาคต หากมีสถานการณ์ที่ส่งผลให้ กนง. จำเป็นต้องมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง.วันที่ 2 ส.ค. นี้ อาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายในรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ ขณะที่ หากเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ตามที่คาดการณ์ไว้ กนง. มีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25% ไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2566 นี้ 

 

ทั้งนี้ ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง ขณะที่ทิศทางเงินเฟ้อในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มที่จะอยู่ในกรอบเป้าหมายของธปท. ที่ 1-3% แม้ว่าอาจเร่งสูงขึ้นจากระดับใกล้ศูนย์ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. ที่ผ่านมา ประกอบกับธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก นำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มเข้าใกล้จุดสูงสุดของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบนี้ ซึ่งส่งผลให้แรงกดดันต่อค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะลดลง ดังนั้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในการประชุมวันที่ 2 ส.ค. นี้ อาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายในรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้

ขณะที่เมื่อมองไปข้างหน้า หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ตามที่คาดการณ์ไว้ กนง. มีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยนโยบาย่ที่ระดับ 2.25% ต่อเนื่องไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2566