ประชุมเฟด 26 ก.ค.นี้ คาดขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% มาอยู่ที่ 5.25-5.50%

25 ก.ค. 2566 | 21:33 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.ค. 2566 | 21:37 น.

SCB CIO คาดว่าเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% หลังประชุมในวันที่ 26 ก.ค. นี้ มาอยู่ที่ 5.25-5.50% มอง 2-3 เดือนข้างหน้า เป็นโอกาสสุดท้ายเก็บพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 5-10 ปีเข้าพอร์ต ก่อน Bond Yield ปรับลดลง

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 25-26 ก.ค. 2566  นี้คาดการณ์ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 5.25-5.50% และอาจเป็นการปรับขึ้นครั้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์

 

ศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB CIO

สำหรับเหตุผลที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในการประชุมรอบนี้ คือ ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เริ่มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว เพียงแต่ยังสูงกว่ากรอบเป้าหมาย 2%  โดยเงินเฟ้อพื้นฐานเดือน มิ.ย. ขยายตัว 4.8%เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการขยายตัวในเดือนพ.ค.แต่ก็ยังถือว่าลงช้า ขณะที่ตลาดแรงงาน ก็ยังมีการจ้างงานที่แข็งแกร่งอยู่ ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้นเรามองว่าจะเกิดขึ้นในปี 2567

“ถ้าเฟดปรับดอกเบี้ยครั้งนี้ แล้วสื่อสารว่าจะยังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ ตลาดอาจจะตกใจบ้าง แต่คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) คงปรับขึ้นได้ไม่มาก แต่หากเฟดออกมาสื่อสารสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว แต่คงอัตราดอกเบี้ยระดับนี้ไปจนถึงปีหน้า คาดว่า Bond yield จะเริ่มทยอยปรับลดลง ซึ่งก็จะทำให้ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้น

ดังนั้น เรามองว่าแนวโน้ม 6 เดือนถึง 1 ปี หลังจากนี้ Bond yield จะปรับลดลง แต่ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า เป็นโอกาสสุดท้ายในการเข้าสะสมพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 5-10 ปีจึงเป็นจังหวะที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)หรือกองทุนรวมเพื่อการออม(SSF)ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ” นายศรชัย กล่าว
 

ส่วนการลงทุนเพื่อเป้าหมายที่มีระยะเวลาไม่ยาวมาก และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการลดหย่อนภาษี เรามองว่า อาจนำเงินดอลลาร์สหรัฐ ไปลงทุนผ่านกองทุนรวมตลาดเงิน (money market) ในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนในระดับ 5% และคาดว่าผลตอบแทนจะอยู่ในระดับสูงไปอีก5-6 เดือนข้างหน้า หลังจากนั้น ผลตอบแทนจะเริ่มลดลงเร็ว   ส่วนกรณีที่มีความกังวลเรื่องการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อแลกคืนเป็นเงินบาท จากการแข็งค่าของเงินบาท  ผู้ลงทุนสามารถลดความกังวลนี้ได้ด้วยการคงเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ไว้ในพอร์ตการลงทุนต่างประเทศ หรืออาจเก็บสะสมเงินดอลลาร์สหรัฐไว้ใช้จ่ายในอนาคต

สำหรับการลงทุนในหุ้น เรามองว่า นักลงทุนในตลาดรับรู้สถานการณ์ของเฟดค่อนข้างดี  สะท้อนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มผันผวนน้อยลง เริ่มเห็นสัญญาณของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น หุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ แม้ว่าจะราคสูงแต่ก็ยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการรส่งสัญญาณว่า ตลาดมองจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม  ผู้ลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ มากขึ้น เพราะบางบริษัทราคาปรับขึ้นมา 50% จากต้นปี ทำให้มูลค่าค่อนข้างแพง หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะข้างหน้า อาจทำให้เกิดการปรับฐานในหุ้นกลุ่มนี้ได้ 
 

SCB CIO แนะนำว่า  การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้สับเปลี่ยนจากหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ไปลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีความทนทานเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (Utility) กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (Consumer staples) เนื่องจากรายได้บริษัทในกลุ่มนี้ค่อนข้างรับมือเศรษฐกิจถดถอยได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ทั้งยังมีความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ดี นอกจากนี้ นักลงทุนอาจเพิ่มสินค้าโภคภัณฑ์เข้าไปในพอร์ต 5-10% ของพอร์ตโดยรวม เช่น ทองคำ ซึ่งป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้  

สำหรับการลงทุนในไทย มองว่า ด้วยภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้อยู่ในระดับสูงมากนัก ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อาจมีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้แต่โดยภาพรวมยังเป็นบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ ดังนั้น จะส่งผลดีต่อการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว ส่วนในระยะสั้นอาจมีปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนพอสมควร เช่นประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังไม่ชัดเจน จึงแนะนำให้รอดูสถานการณ์ก่อน แล้วค่อยพิจารณาลงทุนเพิ่มเมื่อสถานการณ์มีความชัดเจนขึ้น สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจเราแนะนำให้คัดเลือกกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน เมื่อนักท่องเที่ยวจีนกลับมา จะทำให้การท่องเที่ยวคึกคักขึ้น หนุนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มธนาคารที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น 

กสิกรไทย คาดเฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย

เช่นเดียวกับศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการประชุม FOMC วันที่ 25-26 ก.ค.นี้ เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มาอยู่ที่ 5.25-5.50% หลังจากที่เฟดส่งสัญญาณผ่าน Fed Dot Plot ในการประชุม FOMC เดือน มิ.ย. ว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้ โดยแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน มิ.ย. 2566 ลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.0%YoY แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ 2.0% อย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและดัชนีราคาพื้นฐานจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (Core PCE) ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้เป้าหมายของเฟดในการควบคุมเงินเฟ้อนั้นยังไม่เสร็จสิ้น ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาล่าสุด แม้จะเริ่มส่งสัญญาณลดความร้อนแรงลง แต่ตลาดแรงงานยังคงค่อนข้างแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดยังเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อในการประชุมที่จะถึงนี้ ท่ามกลางความเป็นไปได้ที่เฟดอาจนำพาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไปสู่ Soft Landing หรือการที่อัตราเงินเฟ้อปรับลดลงโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยนั้นมีมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ตลาดมองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมที่จะถึงนี้อาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีทิศทางชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ แม้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะยังค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ยังคงมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสถัดๆ ไปอาจชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ตลาดส่วนใหญ่มองว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งสุดท้ายในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. 2566 นี้

อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่ออกมา โดยเฉพาะหากเงินเฟ้อพื้นฐานและค่าแรงไม่ปรับลดลงเร็ว และหากตลาดแรงงานยังไม่ลดความร้อนแรงลงเท่าที่ควร