ส่อง 3 ฉากทัศน์การเมืองพลิกขั้ว "ลงทุนหุ้น" กลุ่มไหนได้ประโยชน์

20 ก.ค. 2566 | 15:58 น.

“กรภัทร วรเชษฐ์” วิเคราะห์หุ้นไทย หลังปรับฉากทัศน์การเมืองเหลือ 3 ทางเลือก "พรรคเพื่อไทย"เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลกับ 8 พรรคร่วม , พลิกขั้วจับมือกับพรรคว่าที่ฝ่ายค้าน และ ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย หุ้นกลุ่มไหนบ้างได้ประโยชน์

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ ฉากทัศน์การเมืองกับผลต่อตลาดหุ้นไทย ว่าความคืบหน้าการเมืองวานนี้ (19 ก.ค.66 ) หลังศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง "พิธา" ปมหุ้น ITV และสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. คาดการวินิจฉัยคดีจะใช้เวลา 3-4 เดือน ,ขณะที่ผลสรุปการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2  ที่ประชุมสภาฯ มีข้อสรุปไม่สามารถดำเนินการได้ ด้วยคะแนนเสียง 395 เสียง ต่อ 312 โดยมีผู้งดออกเสียง 8 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง พร้อมกำหนดวันโหวตนายกฯ ครั้งที่ 3 ในวันที่ 27 ก.ค.นี้ และในช่วงเย็นมีการชุมนุมหลักที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยรวมยังไม่มีเหตุรุนแรง 

จากกรณีที่เกิดในส่วนของตลาดหุ้นไทย มีเรื่องต้องติดตามต่อ คือ

  • 1) แนวทางการจัดตั้งรัฐบาลครั้งถัดไป โดยที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ
  • 2) พัฒนาการการเมืองนอกสภา ว่าจะมีความเสี่ยงรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่ หลังกลุ่มต่างๆ ทยอยประกาศชุมนุม อาทิ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่ม ”ประเทศกูมี” 

 

 

ทั้งนี้โดยรวมเห็นโครงสร้างการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เชิงกลยุทธ์มองหุ้นที่ปรับฐานจากจิตวิทยาลบการเมืองไม่ชัดเจนทยอยฟื้นตัว อาทิ GULF, CRC, CPALL, BJC, CPAXT, TRUE, THCOM ระยะสั้นมองเน้นสะสม GULF, CRC, CPAXT, THCOM

อย่างไรก็ดี ภายใต้แนวทางพรรคการเมืองส่วนใหญ่ และ ส.ว. ไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เราปรับมุมมองฉากทัศน์การเมืองจากนี้เหลือ 3 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 (โอกาส 10%)  คือ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคก้าวไกล+ตั้งรัฐบาลกับ 8 พรรคร่วม ปัจจุบัน 310 เสียง และมี MOU ไม่แตะมาตรา 112 เปิดทางพรรคอื่นๆ ร่วมรัฐบาลที่จำนวนเสียง ส.ส. เกิน 376 เสียง คือ พรรคร่วมปัจจุบัน 310 เสียง +ภูมิใจไทย 71 เสียง จะได้เสียง 381 เสียง โดยมีเจตจำนงเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และอาจมีการแก้รัฐธรรมนูญในระยะถัดไป

ความชัดเจนจะหนุน SET ปลายปี 2566 แกว่งขึ้นในกรอบราว 1680-1720 จุด กลุ่มเคลื่อนไหวดีกว่าตลาด คือ กลุ่มพลังงาน ( PTT, PTTGC, GULF, BGRIM ) กลุ่มเทคโนโลยี (ADVANC, TRUE, THCOM, BE8) กลุ่มอสังหาฯ (SC, SIRI) กลุ่มรับเหมา (STEC, ITD, STPI) กลุ่มอิงการบริโภคภายใน คือ กลุ่มธนาคาร (BBL, KTB, TTB) กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT, CRC, DOHOME, GLOBAL) กลุ่มนิคม (AMATA, WHA) กลุ่มท่องเที่ยว (AOT, ERW, MINT)


 

กรณีที่ 2 (โอกาส 85%)  คือ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ขณะที่พลิกขั้วไปจับพรรคว่าที่ฝ่ายค้าน ประเมินเสียงราว 280-310 เสียง ด้วยบทสรุปที่ชัดเจน SET จะแกว่งขึ้นเช่นกัน แต่กรอบจำกัดกว่ากรณีที่ 1 ที่ราว 1620-1680 จุด (ชึ้นกับความเสี่ยงการชุมนุมทางการเมืองที่มีระดับต่ำ-กลาง)

กลุ่มเคลื่อนไหวดีกว่าตลาด คือ กลุ่มพลังงาน ( PTT, PTTGC, GULF, BGRIM, GPSC) กลุ่มเทคโนโลยี (ADVANC, TRUE, THCOM, BE8) กลุ่มรับเหมาฯ (ITD, STEC, SKY, CK) ตามมาด้วยกลุ่มอิงการบริโภคภายใน คือ กลุ่มธนาคาร (BBL, KTB, TTB, KBANK, SCB) กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT, CRC, GLOBAL, DOGOME) กลุ่มนิคม (AMATA, WHA) กลุ่มท่องเที่ยว (AOT, ERW, CENTEL)


กรณีที่ 3 (โอกาส 5%) คือ การจัดตั้งรัฐบาลจะอยู่ในลักษณะเสียงข้างน้อย คือ ว่าที่พรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบัน ประเมินเสียงราว 160-180 เสียง มองกดดัน SET จากทั้งการขับเคลื่อนนโยบายขาดเสถียรภาพ และมีความเสี่ยงการชุมนุมที่อาจจะเกิดขึ้นมีความตึงเครียดมากสุดในทุกกรณี ประเมิน SET กรอบ 1350-1460 จุด

กลุ่มที่เคลื่อนไหวดีกว่าตลาด มองกลุ่มถูกกดดันจากการเมือง อาทิ GULF, BGRIM, THCOM, TRUE, STEC, STPI อิงความต้องการโลก (Global Plays) อาทิ HANA, KCE, DELTA, CPF, GFPT, PTTGC, IVL กลุ่มนิคม (AMATA, WHA) ส่วนกลุ่มอิงภายใน+ท่องเที่ยวจะเผชิญภาพลบ