กูรูแนะสอย 7 หุ้นเด่น  ประคองลงทุนเดือนพ.ค.ที่ยังอึมครึม 

04 พ.ค. 2566 | 07:52 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ค. 2566 | 07:54 น.
670

บล.ทิสโก้ ชี้บรรยากาศลงทุนหุ้นไทยเดือนพ.ค.ยังคงอึมครึม หลังจับตา 3 ปัจจัย 1. การส่งสัญญาณของเฟด หยุดขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่  2. กำไร บจ. และ 3. เลือกตั้ง แนะนำลงทุน 7 หุ้นคุณภาพ

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในต้นเดือนพฤษภาคม นี้ มีการคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +25 bps สู่ระดับ 5.00-5.25% แต่สิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในการประชุมครั้งนี้ คือ FED จะส่งสัญญาณการหยุดขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่

ทางบล.ทิสโก้เชื่อว่า FED จะสงวนท่าทีไม่ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าแนวโน้มดอกเบี้ยจะหยุดขึ้นแล้ว เพื่อรอพัฒนาการข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้แน่ชัดก่อน โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อและตัวเลขตลาดแรงงาน รวมทั้งยอดการปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคารหลังเกิดปัญหาแบงก์ล้มในสหรัฐฯ เพราะฉะนั้น ความชัดเจนของทิศทางอัตราดอกเบี้ยอาจต้องรอจนถึงการประชุมครั้งถัดไปในช่วงกลางเดือน มิถุนายน ซึ่งจะมีการเปิดเผย “Dot Plot” ใหม่ 

ล่าสุด ถึงแม้ Composite PMI ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวดีขึ้นในเดือนเมษายน จะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในครึ่งปีหลัง แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความหนืดของเงินเฟ้อที่อาจปรับตัวลงได้ช้าและทำให้นักลงทุนคาดการณ์ได้ยากขึ้นต่อทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามที่ตลาดประเมินไว้ก่อนหน้านี้

โดยเฉพาะประเด็นที่ตลาดมองว่า FED จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงปลายปีนี้  ในอดีตรอบเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา 4 ใน 5 วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นล่าสุด การหยุดขึ้นดอกเบี้ยของ FED อาจกระตุกตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นได้ โดย S&P500 Index และ SET Index มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +11% (Max = +20%, Min = -12%) และ +9% (Max = +29%, Min = -23%) ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องระมัดระวังในระยะถัดไป คือ ช่วงวัฎจักรดอกเบี้ยของ FED เริ่มกลับทิศเป็นขาลง เพราะมักเป็นช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มย่ำแย่แล้ว โดยในช่วง FED ลดดอกเบี้ยลง จะทำให้การลงทุนในตลาดพันธบัตรน่าสนใจกว่าตลาดหุ้น และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอดีตมักจะให้ผลตอบแทนเป็นติดลบเฉลี่ยราว -29% (Max = -40%, Min = -20%) 

ด้านผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) คาดจะมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1.98 แสนล้านบาทในไตรมาส 1/2566 เพิ่มขึ้น +12% YoY และ +36% QoQ

 

นอกจากกลุ่ม BANK ที่รายงานผลประกอบการออกมาดีกว่าบล.ทิสโก้และตลาดคาดประมาณ 8% แล้ว (มีกำไรสุทธิรวม 5.69 หมื่นล้านบาท +14% YoY และ +47% QoQ) กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่คาดจะมีกำไรเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ คือ ENERG (+16% YoY และ +113% QoQ) และ PETRO (+57% YoY และ พลิกมีกำไรจากขาดทุน QoQ) เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษเหมือนไตรมาสก่อนหน้านี้

นอกจากนี้กลุ่ม TRANS (พลิกมีกำไรจากขาดทุน YoY และ +52% QoQ) คาดจะมีกำไรดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ หลัก ๆ จาก AOT ที่คาดว่าจะทำกำไรได้ดีขึ้นต่อเนื่องตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว 

 สำหรับการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ บล.ทิสโก้เชื่อว่าไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะชนะการเลือกตั้ง ตลาดจะตอบสนองในเชิงบวกจากความชัดเจนของผลการเลือกตั้ง แต่จะตอบสนองในเชิงบวกมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับคะแนนเสียงที่ออกมา หากคะแนนเสียงออกมาแบบขาดลอย น่าจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนได้มากขึ้น เพราะจะสะท้อนถึงเสถียรภาพรัฐบาลที่มั่นคงในอนาคต และทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น 

โดยภาพรวมเดือนนี้ บล.ทิสโก้มองแนวโน้มการลงทุนยังอึมครึม มี 3 ปัจจัยผันแปรสำคัญที่ต้องติดตาม (1) การประชุม FED ในช่วงต้นเดือน (2) การทยอยประกาศผลประกอบการในช่วงครึ่งเดือนแรก และ (3) ผลการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยผันแปรสำคัญต่อทิศทางตลาดในช่วงครึ่งเดือนหลัง 

แนะ 7 หุ้นเด่นเชิงคุณภาพ

บล.ทิสโก้แนะนำลงทุนในหุ้นเชิงรับคุณภาพดี  น่าจะช่วยประคับประคองการลงทุนในช่วงที่ยากลำบากนี้ไปได้ แนะนำ ADVANC, BDMS, BEM ผสานกับการเก็งกำไรหุ้นงบดี เลือก CPALL, STANLY และหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 Index แนะนำ TLI, WHA  

ส่งผลให้หุ้นเด่นของบล.ทิสโก้ในเดือน พฤษภาคม คือ ADVANC, BDMS, BEM, CPALL, STANLY, TLI และ WHA ด้านแนวรับสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,500-1,520 จุดและแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,570, 1,600-1,615 จุดตามลำดับ