MTC เล็งออกหุ้นกู้ 2.5 หมื่นล้าน เคาะปันผล 0.95 บาท/หุ้น จ่าย 17 พ.ค.นี้

19 เม.ย. 2566 | 14:21 น.
อัปเดตล่าสุด :19 เม.ย. 2566 | 14:21 น.

ผู้ถือหุ้น บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ไฟเขียวออกหุ้นกู้ 25,000 ล้านบาท รองรับแผนปล่อยสินเชื่อปี 66 ที่คาดเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เคาะปันผล 0.95 บาท/หุ้น จ่าย 17 พ.ค.นี้

นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) ผู้นำธุรกิจสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ของไทย เปิดเผยว่าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 18 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดจากงวดผลการดำเนินงานในปี 2565 (มกราคม-ธันวาคม 2565) ในอัตรา 0.95 บาท/หุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 27 เมษายน 2566 และจ่ายปันผลวันที่ 17 พฤษภาคม 2566


 

“ถึงแม้อุตสาหกรรมการปล่อยสินเชื่อรายย่อยเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ที่มีผู้เล่นหลายรายอยู่แล้ว ในปี 2565 การปล่อยสินเชื่อในตลาดนี้ยังคงมีผู้เล่นใหม่เข้ามาแข่งขันมากขึ้น รวมทั้งดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น MTC ได้ปรับกลยุทธ์และแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทำให้ปี 2565 มีสินเชื่อคงค้าง 120,613 ล้านบาท เติบโต 31.37% เทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่รายได้รวม 20,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.28% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.00% เทียบปีที่ผ่านมา”

ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานของ MTC ในปี 2566 ตั้งเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อเติบโต 20% พร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เพื่อส่งมอบการบริการที่ดีแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิผลโครงการคลินิกแก้หนี้ที่มีอยู่ เพื่อให้คำปรึกษาและสร้างวัฒนธรรมทางการเงินที่ดี รวมถึงจัดทำแผนการบริหารหนี้เสีย และติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

โดย MTC มีแผนขยายสาขาเพิ่ม 600 แห่งในปี 2566 รวมเป็น 7,200 สาขาทั่วประเทศ รองรับความต้องการของลูกค้าในระดับฐานรากที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

รองกรรมการผู้จัดการ MTC กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการรองรับแผนการปล่อยสินเชื่อในปี 2566 ที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เทียบปีที่ผ่านมา บริษัทฯเตรียมออกหุ้นกู้วงเงินประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนสินเชื่อทั้งจากสถาบันการเงินในประเทศไทยและสถาบันการเงินในต่างประเทศอีกด้วย เพื่อไปสู่เป้าหมายภายในปี 2569 พอร์ตสินเชื่อแตะที่ระดับ 2 แสนล้านบาท โดยเน้นการทำตลาดกับลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดี และการรุกขยายฐานลูกค้าใหม่ที่มีความต้องการใช้บริการสินเชื่อมากขึ้น สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต