เทรนด์ Net Zero มาแรง จี้"บจ."ปรับตัวรับทุนต่างชาติ

30 มี.ค. 2566 | 05:05 น.
อัปเดตล่าสุด :30 มี.ค. 2566 | 07:21 น.

ประธานหอการค้าอเมริกันมอง 2 ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจ “เงินเฟ้อ” บีบเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย “ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์” ชี้เทรนด์ Net Zero มาแรง แนะธุรกิจไทยปรับตัว รับกระแสเงินลงทุนต่างชาติ พร้อมถอดบทเรียนวิกฤตภาคาธนาคาร ย้ำผู้ฝากเงินต้องคิดบริหารเงินในบัญชี

 

ในงานสัมมนา SET in The Rabbit Hole : หุ้นไทยปีกระต่าย 2023 จัดโดยหนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ และ Than Digital ได้รับเกียรติจากนางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารแห่งอเมริกา เมอร์ริล ลินซ์ สาขาประเทศไทยและประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย American Chamber of Commerce in Thailand (AMCHAM) กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Global Fund Flows: รับมือการเงินโลกป่วน”  

นางสาวอรกัญญา เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ส่งผลสำคัญต่อสถานการณ์โลกและทิศทางการลงทุนมี 2 เรื่องหลักคือ 1.อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกโดยรวมที่ปรับขึ้นในระดับ 2-3 หลัก ขณะที่สหรัฐฯโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะดึงเงินเฟ้อให้ลงมาสู่ระดับเป้าหมาย 2.00% ยังเป็นเรื่องยาก คาดว่าอย่างดีปีนี้ จะอยู่ระดับที่ 3.5% ทำให้เฟดยังต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 ที่ปรับขึ้น 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00%

ประเด็นที่ 2 คือเรื่อง ภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (Geopolitics) ในกลุ่ม 3 ประเทศใหญ่คือ สหรัฐ ยุโรปและจีน ที่ยังต้องติดตาม ทั้งในเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่จะส่งผลอุปทานพลังงาน และการที่จีนพึ่งออกจากโควิด-19 หลังจากปิดประเทศมานาน 3 ปี ซึ่งยังต้องใช้เวลากว่าจะฟื้นตัวกลับมามีพลัง (Power) อีกครั้ง

 

เทรนด์ Net Zero มาแรง จี้\"บจ.\"ปรับตัวรับทุนต่างชาติ

 

ส่วนทิศทางลงทุน เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ ช่วงเดือนแรกไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และในตลาดตราสารหนี้ไทยอีกราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการคาดการณ์ว่า เงินบาทจะแข็งค่าขึ้น ก่อนที่ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2566 เงินทุนต่างชาติจะเริ่มไหลออกและคาดว่า เงินบาทจะกลับมาแข็งค่า โดยไตรมาส 4 ปีนี้ น่าจะแตะ 31 บาทต่อดอลลาร์ ได้
 

Net Zero : จี้ธุรกิจปรับตัวรับกระแสทุนต่างชาติ

อย่างไรก็ดี ทิศทางธุรกิจอยากให้โฟกัสเรื่อง Net Zero มาตรการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นเทรนด์มาแรง โดยเอเชียมุ่งไปสู่พลังงานสะอาด จีนตั้งเป้าไว้ว่า 52% จะพึ่งพาถ่านหิน ของไทยภายในปี 2065 ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนให้ได้ 50% ขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนา อย่างสหรัฐอเมริกา รัฐบาลสร้างแรงจูงใจ (incentive) หากซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จะลดให้ 7,900 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกรณีบ้านเรือนที่ติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อป รัฐบาลก็จะออกให้ 30% ซึ่งรัฐบาลไทยก็เริ่มดำเนินการในลักษณะเดียวกัน

นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต้องทำในเรื่อง ESG และจะมีหน่วยงานกลางในการให้คะแนน และในสหรัฐฯ ก็เริ่มเห็นว่า บริษัท ที่มีคะแนนในเรื่อง ESG จะส่งผลต่อ Valuation ของหุ้นในอนาคตมากขึ้น และเป็นเทรนด์มาแรงที่นักลงทุนต่างชาติจะใช้ในการตัดสินใจเข้าลงทุนหุ้นนั้นๆ

“ในฐานะที่เราเป็นที่ปรึกษาการเงินในหลายดีลกิจการ สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติใช้พิจารณาเข้ามาลงทุน และถูกถามเสมอก็คือเรื่อง  ESG ของบจ. ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงในขณะนี้ แต่ที่ผ่านมานักลงทุนไทยยังให้ความสำคัญเรื่องนี้น้อยมาก” นางสาวอรกัญญา กล่าว 

 

เทรนด์ Net Zero มาแรง จี้\"บจ.\"ปรับตัวรับทุนต่างชาติ

 

ส่วนปัญหาภาคธนาคารในสหรัฐและยุโรปและผลกระทบ นางสาวอรกัญญากล่าวว่า กรณีของ ซิลิคอน วัลเลย์แบงก์ (Silicon Valley Bank: SVB) และซิกเนเจอร์ แบงก์ (Signature Bank) แม้จะคลี่คลายไปได้ เนื่องจากภาครัฐ ธนาคารกลางสหรัฐ และบรรษัทประกันเงินฝากของสหรัฐ (FDIC) สามารถเข้ามาจัดการได้ทันท่วงทีใช้เวลาเพียง 2 วัน และด้วยคุณภาพสินทรัพย์ (Loan) ที่ค่อนข้างดี จึงมีสถาบันการเงินประมูลซื้อไป

ขณะที่กรณีของธนาคารเครดิตสวิส (Credit Suisses:CS) ในสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นความผิดพลาดที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แตกต่างจากกรณีของแบงก์สหรัฐที่ต้องปิดกิจการไป เช่น ความหละหลวมกรณีที่ CS ตรวจพบในภายหลังว่า เข้าไปปล่อยกู้ให้กับบริษัทที่เกี่ยวกับ supply chain financing วงเงิน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่มี invoice (บิลข้อมูลการซื้อขายที่ออกเป็นเอกสาร)

นอกจากนั้นยังมีการปล่อยกู้ เทรดมาร์จิ้นวงเงิน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีหลักประกันเป็นหุ้น สร้างความเสียกว่า 2 เท่าตัว รวมถึงการระดมทุนระยะสั้น ต้นทุนสูง แต่ไปลงทุนระยะยาว เช่น ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) ระยะสั้น 3 เดือน ดอกเบี้ยสูง 6.5%ต่อปี แต่ไปลงทุนในพันธบัตร 10 ปี ดังนั้นเมื่อจำเป็นต้องขายออก จึงขาดทุนมหาศาล

แม้ท้ายที่สุด ธนาคารยูบีเอส ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ธนาคารใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์จะเข้ามาอุ้ม ด้วยการซื้อกิจการ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น 2 เรื่องสำคัญคือ ความเสียหายจากการลงทุนในหุ้นกู้ “AT1” (หุ้นกู้ด้อยสิทธิ สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของธนาคารพาณิชย์ ) หรือ “หุ้นกู้ CoCo” เนื่องจากการเข้าซื้อของยูบีเอสในครั้งนี้ มีรัฐบาลเป็นนายหน้า และเพื่อช่วยพยุงวิกฤติความเชื่อมั่นของตลาดการเงินโลก

กรณีนี้หน่วยงานกำกับดูแลของสวิตเซอร์แลนด์ จึงอนุญาตให้สามารถจัดจำหน่ายหุ้นกู้ AT1 ของ Credit Suisse มูลค่ากว่า 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6 แสนล้านบาท) เหลือศูนย์ในทันที เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของงบดุลให้กับธนาคารที่เกิดจากการควบรวม ดังนั้นผู้ถือ AT1 ของเครดิตสวิส จึงมีมูลค่าเป็นศูนย์

ยันแบงก์ไทยแกร่ง-ปลอดภัยสูง

สำหรับผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ไทย นางสาวอรกัญญา ย้ำว่าไม่ส่งผลต่อสถาบันการเงินไทย เนื่องจากไม่มีการลงทุนโดยตรงที่เกี่ยวข้องกับ 3 ธนาคาร (SVB , ซิกเนเจอร์แบงก์, เครดิตสวิส) ส่วนกรณีการลงทุนใน CS โดยผ่าน “กองทุนหลักในต่างประเทศ” สัดส่วนค่อนข้างจำกัด

นอกจากนี้ หากเทียบความแข็งแกร่งของกองทุนฯ (Capital Adequacy Ratio:CAR ratio) สถาบันการเงินต่างประเทศอยู่ที่ 8% ธนาคารสหรัฐอยู่ที่ 14% ยังต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ที่ 19.5% โดยเฉลี่ย ธนาคารไทยจึงปลอดภัยมากๆ 
    

“ถามว่าไทยได้เรียนรู้อะไรจากวิกฤติภาคธนาคารต่างประเทศครั้งนี้ ที่สำคัญมากๆ คือเรื่อง AT1 ซึ่งเกิดความเสียหายมหาศาล จากคนที่แห่ไปลงทุนในหุ้นกู้ดังกล่าว ที่ให้ผลตอบแทนสูง 6% กว่าสูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไป” นางสาวอรกัญญากล่าว

นอกจากนั้น กรณีการค้ำประกันเงินฝากของภาครัฐ อย่างกรณีธนาคารในสหรัฐ จะค้ำประกันเงินฝากต่อบัญชีต่อรายต่อธนาคาร อยู่ที่ 2.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 8 ล้านบาท เทียบกรณีของไทย ที่รัฐบาลค้ำประกันเงินฝากอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อราย ต่อสถาบันการเงิน  ดังนั้นจึงเป็นบทเรียนให้ต้องคิดต่อว่า เราจะบริหารจัดการเงินในบัญชีอย่างไร ?

 

เทรนด์ Net Zero มาแรง จี้\"บจ.\"ปรับตัวรับทุนต่างชาติ