แบงก์งัด 3 มาตรการเด็ด สแกนใบหน้า ป้องกันโจรดูดเงินจากบัญชี

13 มี.ค. 2566 | 06:45 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มี.ค. 2566 | 14:05 น.

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) งัด 3 มาตรการเด็ด สแกนใบหน้า ป้องกันโจรดูดเงินจากบัญชี ไม่ต้องรอกฎหมายปราบโจรไซเบอร์

ปัญหามิจฉาชีพโจรกรรมทางการเงินผ่านระบบออนไลน์ ยังไม่เคยหายไป และผู้เสียหายที่ถูกดูดเงินออกจากบัญชี หรือถูกโอนเงินออกจากบัญชีโดยไม่รู้ตัว ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จากกลอุบายหลากหลายรูปแบบของมิจฉาชีพ ทั้งหลอกให้กดลิงก์ปลอม หลอกให้กรอกข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ปลอม หรือการฝังมัลแวร์ในโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายเพื่อควบคุมเครื่องได้จากระยะไกล เป็นต้น

แม้ขณะนี้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ กฎหมายปราบโจรไซเบอร์ จะยังไม่ประกาศใช้ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้กำหนดมาตรการขั้นต่ำที่ทุกสถาบันการเงินจะต้องนำไปปฏิบัติภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อป้องกัน และบรรเทาความเสียหาย จากมิจฉาชีพออนไลน์

ดูดเงินจากบัญชี

3 มาตรการ แก้ปัญหาถูกโจรดูดเงินออกจากบัญชี

1. มาตรการป้องกัน เพื่อปิดช่องทางที่มิจฉาชีพจะเข้าถึงประชาชน 

กำหนดให้ ธนาคาร และสถาบันการเงิน งดการส่งลิงก์ทุกประเภทผ่าน SMS ,อีเมล, และงดส่งลิงก์ขอข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน และเลขบัตรประชาชนผ่านโซเชียลมีเดีย

รวมทั้งให้ยกระดับความเข้มงวดในการยืนยันตัวตน โดยการนำระบบสแกนใบหน้า (biometrics) มาใช้กับการโอนเงินเกิน 50,000 บาท/ครั้ง หรือโอนเงินเกิน 200,000 บาท/วัน หรือปรับเปลี่ยนเพิ่มวงเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปบนโมบายแบงก์กิ้ง ซึ่งระบบดังกล่าวจะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ก.ค. 2566

ธนาคาร และสถาบันการเงิน ต้องกำหนดเพดานวงเงินถอน/โอนสูงสุดต่อวันให้เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของกลุ่มผู้ใช้บริการแต่ละประเภท โดยการขอปรับเปลี่ยนวงเงินของลูกค้าต้องมีการยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวด

2. มาตรการตรวจจับและติดตามบัญชี หรือธุรกรรมต้องสงสัย 

เพื่อให้สถาบันการเงินช่วยจำกัดความเสียหายได้เร็วขึ้น และลดการใช้บัญชีม้า ธนาคาร และสถาบันการเงิน ต้องกำหนดเงื่อนไขการตรวจจับ และติดตามธุรกรรมเข้าข่ายผิดปกติ หรือกระทำความผิด

3. มาตรการตอบสนองและรับมือ เพื่อจัดการปัญหาให้ผู้เสียหายได้เร็วขึ้น 

ธนาคาร และสถาบันการเงิน ต้องมีช่องทางติดต่อเร่งด่วน ตลอด 24 ชั่วโมง แยกจากช่องทางให้บริการปกติ เพื่อให้ผู้ใช้บริการแจ้งเหตุได้โดยทันเวลา และหากพบว่าความเสียหายเกิดจากข้อบกพร่องของสถาบันการเงินเอง  สถาบันการเงินนั้นจะต้องให้การดูแลรับผิดชอบ

คลิกอ่าน : รวมเบอร์โทรธนาคาร ถูกโจรดูดเงิน โทรแจ้งสายด่วนได้ 24 ชั่วโมง

 

ประชาชนพร้อมใช้ ระบบสแกนใบหน้า (biometrics) หรือยัง

จากข้อมูลของ ธปท.พบว่า ผู้ที่ได้มีการเปิดบัญชีธนาคารภายใน 2 -3 ปีที่ผ่านมา หรือ ได้ยืนยันตัวตนเพื่อรับสวัสดิการของรัฐ สถาบันการเงินย่อมมีข้อมูลสแกนใบหน้า (biometrics) เก็บไว้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 50% ของผู้ใช้บริการ ซึ่งผ็ใช้บริการกลุ่มนี้พร้อมมใช้งานระบบ สแกนใบหน้า (biometrics) ได้ทันที่ 

สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีการเปิดบัญชีธนาคารภายใน 2 -3 ปีที่ผ่านมา หรือ ไม่เคยยืนยันตัวตนเพื่อรับสวัสดิการของรัฐ สามารถติดต่อธนาคารเจ้าของโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อขอให้เก็บข้อมูลสแกนใบหน้า (biometrics) เอาไว้ก่อนเริ่มบังคับใช้มาตรการดังกล่าวในวันที่ 1 ก.ค. 2566

ทำไมจึงกำหนดวงเงิน 50,000 บาท

ธปท.ให้เหตุผลถึงการกำหนดใช้มาตรการยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า (biometrics) สำหรับวงเงิน 50,000 บาท/ครั้ง ว่ามิจฉาชีพส่วนใหญ่มักโอนในวงเงินมากกว่า 50,000 บาท/ครั้ง ซึ่งผู้ใช้บริการสถาบันการเงิน ที่มีการโอนเงินในจำนวนมากกว่า50,000 บาท/ครั้ง พบเพียง1% เท่านั้น


 

@thansettakij

ธนาคารอัพเลเวล สแกนใบหน้าก่อนถอนเงิน

♬ เสียงต้นฉบับ - ฐานเศรษฐกิจ