ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่า ตามที่ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUEE) ได้ดำเนินการควบบริษัท และนายทะเบียนบริษัทมหาชนจำกัด รับจดทะเบียนควบบริษัทแล้ว
ส่งผลให้บริษัทดังกล่าวสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) จะรับโอนทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิหน้าที่ และความรับผิดชอบทั้งหมดของทั้งสองบริษัท
โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 (4) และ 171 (1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งเพิกถอนหลักทรัพย์ DTAC และ TRUEE จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
พร้อมรับหลักทรัพย์ของ TRUE เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนการควบบริษัท ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 66 (มีผลในระบบการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค. 2566) และเริ่มซื้อขายได้ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. 2566
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาระหว่างการดำเนินการแลกหุ้นของทั้งสองบริษัทนั้น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่นได้เปลี่ยนใช้ชื่อย่อหุ้นชั่วคราวคือ TRUEE ก่อนกลับมาใช้ชื่อย่อเก่า TRUE หลังควบรวมบริษัทเสร็จสิ้น
ทั้งนี้ TRUE จะเข้าซื้อขายในหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวนหุ้นจดทะเบียน 34,552,100,801 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 4.00 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า TRUE ยังคงเป็นหุ้นเด่น โดยมีราคาแนะนำอยู่ที่ 10.32 บาท บนปัจจัยหนุน 3 ประการที่จะผลักดันราคาหุ้นของบริษัท TRUE ให้สูงขึ้นหลังจากจดทะเบียนใหม่
ประการแรก กลยุทธ์ทางบัญชีบ่งขี้ถึงการทำกำไรของ TRUE ได้ทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการรวมกิจการ
ประการที่สอง เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CPG ) และ Telenor อาจมีแรงจูงใจในการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TRUE อีกฝ่ายละ 29%
ประการสุดท้าย TRUE น่าจะมีคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกของ SET50 และ MSCI ด้วยซึ่งจะผลักดันอุปสงค์หุ้นจากนักลงทนุสถาบัน
อ่านเพิ่ม : บทวิเคราะห์บล.กสิกรไทย
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำ "ซื้อ" หุ้น TRUE พร้อมให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 10.40 บาทต่อหุ้น โดยในเชิงกลยุทธ์นักลงทุนที่แปลงเป็นบริษัทใหม่จะยังมีการอัพไซด์ประมาณ +/- 20% เทียบกับราคาเหมาะสม จึงแนะนำให้ถือต่อ
ทั้งนี้ คาดกำไรปกติของ TRUE ในปี 2566-2568 ที่ 3,500 ล้านบาท, 12,000 ล้านบาท และ 14,000 ล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้ผลประกอบการของ TRUEE และ DTAC ยังมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำรวมกิจการ (Amalgamation) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
ดังนั้นผลขาดทุนในปี 2565 จึงไม่ใช่ผลประกอบการที่แท้จริงของ TRUE ที่จะเข้าเทรดในวันที่ 3 มี.ค.66 และหากตัดรายการดังกล่าวออก TRUE ควรมีกำไรในปี 2565