เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 33.90 บาทต่อดอลลาร์

15 ก.พ. 2566 | 08:12 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.พ. 2566 | 09:53 น.

เงินบาทยัง "อ่อนค่า" ถ้าทะลุแนวต้านแถว 34บาทผู้ส่งออกบางส่วนอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ที่ ระดับ 34.20บาท นักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายสุทธิ ทั้งหุ้นและบอนด์ต่อ

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้( 15 ม.ค.2566) ที่ระดับ 33.90 บาทต่อดอลลาร์ "อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์
 

นายพูน   พานิชพิบูลย์  นักลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้นมาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์

รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยเฉพาะในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ เราประเมินว่า แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อค่าเงินบาทจะยังคงมีอยู่ ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงิน ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเดินหน้าขายสุทธิสินทรัพย์ไทย ทั้งหุ้นและบอนด์ อย่างต่อเนื่องได้

 กอปรกับในเชิงเทคนิคัล เงินบาทได้อ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน (สัญญาณ RSI และ MACD ต่างก็ชี้โอกาสอ่อนค่าต่อ) ทำให้ในระยะสั้น ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าต่อจนทดสอบโซนแนวต้านสำคัญแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราเคยประเมินไว้ได้ 

ซึ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เงินบาทจะอ่อนค่าทะลุระดับดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะหากเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องทะลุระดับดังกล่าวได้จริง ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง ผู้ส่งออก มีการปรับแผนไม่รีบขายเงินดอลลาร์และอาจไปรอทยอยขายดอลลาร์ในช่วงสูงกว่า 34.00 บาทต่อดอลลาร์ เช่น 34.20 บาทต่อดอลลาร์
 
อนึ่ง ความผันผวนของตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
 
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยดัชนี Dowjones ปรับตัวลงราว -0.46% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.03% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดอาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนมกราคม กลับไม่ได้ชะลอลงตามที่ผู้เล่นในตลาดคาดหวัง โดย อัตราเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI ชะลอลงเล็กน้อยสู่ระดับ 6.4% (ตลาดคาด 6.2%)

 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน Core CPI ก็ชะลอลงไม่มากสู่ระดับ 5.6% (ตลาดคาด 5.5%) ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 52% ที่จะขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.50% ในการประชุมเดือนมิถุนายน สูงขึ้นจากโอกาสเพียง 36% ในสัปดาห์ก่อนหน้า (ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool)
 
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 เคลื่อนไหวผันผวนเช่นกัน ก่อนที่จะปิดตลาด +0.08% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลักอยู่ 

โดยเฉพาะหลังจาก รายงานข้อมูลการจ้างงานในฝั่งอังกฤษ และฝั่งยูโรโซนได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและตึงตัว รวมถึงภาพอัตราเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ชะลอลงอย่างที่ตลาดคาดหวัง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด
 
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับมุมมองว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจต้องดำเนินต่อไปจนอาจแตะจุดสูงสุดที่ 5.50% หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจนอย่างที่คาดหวัง ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.75%

 ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงรอซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะย่อตัว ทำให้การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจไม่ได้รุนแรงมาก หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดและหนุนโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง
 
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน ก่อนที่จะปรับตัวแข็งค่าขึ้นเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.3 จุด ตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดหวังการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอลงอย่างที่ตลาดคาดหวัง 

นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) แกว่งตัวผันผวนหนัก ก่อนที่จะย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,864 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

เรามองว่า ในจังหวะที่ราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับแถว 1,850-1,860 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้ามาซื้ออยู่บ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้างเช่นกัน
 
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมกราคม โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดค้าปลีกอาจขยายตัวราว +1.8% จากเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงแนวโน้มการบริโภคในฝั่งสหรัฐฯ ที่ยังคงดีอยู่ 

สอดคล้องกับสภาวะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและตึงตัว อนึ่ง เราคงมองว่า ธีมของตลาดอาจยังเป็น “Very good economic data = Bad news for the market” หรือ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดมาก ก็อาจทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดยังไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หรือ หยุดขึ้นดอกเบี้ยได้ง่ายๆ ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็อาจกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินได้
 
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา อัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ในเดือนมกราคม โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI ของอังกฤษ ในเดือนมกราคม อาจชะลอลงสู่ระดับ 10.2% 

อย่างไรก็ดี แม้ว่า อัตราเงินเฟ้ออาจชะลอลงได้บ้าง แต่รายงานข้อมูลการจ้างงานอังกฤษในวันก่อนหน้าที่ยังคงสะท้อนภาพตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและตึงตัว ก็อาจชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษมีโอกาสชะลอตัวช้ากว่าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คาดหวัง 

ทำให้ BOE อาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง
 และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะถ้อยแถลงของประธาน ECB Christine Lagarde เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของ ECB

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าไปที่ 33.97 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือนครั้งใหม่ในช่วงเช้าวันนี้ (9.40 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.81 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค หลังเงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่แม้จะยังมีแนวโน้มชะลอลง แต่ก็อาจจะเป็นไปอย่างช้าๆ นอกจากนี้ถ้อยแถลงของเฟดที่มีท่าทีคุมเข้มต่อเนื่อง (ซึ่งอาจจะมากว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้) ก็เป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้เงินดอลลาร์ฯ และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.80-34.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์และสกุลเงินเอเชีย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดนิวยอร์กและดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.พ.