ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 700 จุด ข้อมูลเศรษฐกิจหนุนเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย

07 ม.ค. 2566 | 06:22 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ม.ค. 2566 | 13:29 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นมากกว่า 2% ในวันศุกร์ (6 ม.ค.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และจะหนุนให้เฟดชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 33,630.61 จุด เพิ่มขึ้น 700.53 จุด หรือ +2.13%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,895.08 จุด เพิ่มขึ้น 86.98 จุด หรือ +2.28% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,569.29 จุด เพิ่มขึ้น 264.05 จุด หรือ +2.56%

 

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.46%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.45% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 0.98%

 

สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสูงกว่าคาดในวันศุกร์ (6 ม.ค.) แต่ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับเงินเฟ้อนั้น ออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และจะเป็นปัจจัยให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ขณะเดียวกัน สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดได้ช่วยลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐ

 

นอกจากนี้ ISM เปิดเผยว่า ดัชนีราคาในภาคบริการร่วงลงสู่ระดับ 67.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564 ซึ่งบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเงินเฟ้อ

 

กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 223,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 200,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.5% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.7% ส่วนค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน โดยชะลอตัวจากระดับ 0.6% ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.4% และเมื่อเทียบรายปี ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 4.6% ในเดือนธ.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.0%

 

ส่วน ISM เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 49.6 ในเดือนธ.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 55.0 จากระดับ 56.5 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคบริการ โดยเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2563 ส่วนดัชนีราคาในภาคบริการร่วงลงสู่ระดับ 67.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2564 และบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเงินเฟ้อ

 

ดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่

 

หุ้นทุกกลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มวัสดุนำตลาดพุ่งขึ้น 3.44% รองลงมาได้แก่กลุ่มเทคโนโลยีที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ปรับตัวขึ้น 2.99%, หุ้นกลุ่มพลังงาน เพิ่มขึ้น 1.68% และกลุ่มเฮลท์แคร์ บวก 0.89%

 

หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับแรงหนุนจากหุ้นคอสต์โก โฮลเซล คอร์ป ซึ่งพุ่งขึ้น 7% หลังจากคอสต์โกรายงานการเติบโตของยอดขายที่แข็งแกร่งในเดือนธ.ค.

 

หุ้นไบโอเจนปิดพุ่งขึ้น 2.8% หลังสำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอนุมัติยาเลแคเนแมป (lecanemab) ซึ่งเป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ที่พัฒนาโดยไบโอเจนร่วมกับบริษัทเอไซ (Eisai) ซึ่งราคาหุ้นปิดพุ่งขึ้น 4%

 

หุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 2.5% หลังมีรายงานว่าไฟเซอร์เจรจากับรัฐบาลจีนเพื่อขอใบอนุญาตให้บริษัทยาในจีนผลิตและจำหน่ายยาแพกซ์โลวิดซึ่งเป็นยาต้านไวรัสโควิด-19

 

ส่วนหุ้นเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ ร่วง 22% สวนทางตลาด หลังสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บริษัทขายปลีกสินค้าในครัวเรือนแห่งนี้เตรียมที่จะยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอพิทักษ์ทรัพย์จากการล้มละลายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

 

ในสัปดาห์หน้า นักลงทุนจะจับตาการเริ่มเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4/2565 ของธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐในวันศุกร์ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกนและแบงก์ ออฟ อเมริกา