เปิดเบื้องลึก “ภาษีขายหุ้น” ปัดฝุ่นกฎหมายรีดภาษีรอบ 40 ปี

30 พ.ย. 2565 | 05:04 น.
อัปเดตล่าสุด :30 พ.ย. 2565 | 18:41 น.
1.1 k

เปิดเบื้องลึก “ภาษีขายหุ้น” หลัง มติครม. เห็นชอบการจัดเก็บ "ภาษีขายหุ้น" 0.10% จากธุรกรรมการขายหุ้น ปัดฝุ่นกฎหมายรีดภาษีอีกครั้งในรอบ 40 ปี ไปย้อนดูที่มากว่าจะถึงวันนี้ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

วาระร้อนครม. ล่าสุด หลังจากมีมติเห็นชอบการจัดเก็บ "ภาษีขายหุ้น" ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ในอัตรา 0.10% จากธุรกรรมการขายหุ้น (Transaction Tax) แต่ในปีแรกจะมีการเก็บภาษีก่อนในอัตรา 0.055% เมื่อรวมภาษีท้องถิ่น 

 

โดยออกเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ฉบับที่ .. พ.ศ. .... ซึ่ง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า หลังจากกฎหมายฉบับนี้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จะมีผลบังคับใช้ต่อไปภายใน 3 เดือน

 

เบื้องต้นการเก็บภาษีขายหุ้น ครั้งนี้ จะยกเว้นในส่วนของกองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม เป็นต้น โดยกระทรวงการคลัง ประเมินว่า การปัดฝุ่นจัดเก็บภาษีฉบับนี้ จะสร้างรายได้เข้ารัฐได้อีกประมาณปีละ 1.5 - 1.6 หมื่นล้านบาท

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภาพประกอบข่าวการเก็บภาษีขายหุ้น

 

เปิดที่มาของการ "เก็บภาษีขายหุ้น"

 

สำหรับการเก็บภาษีขายหุ้น 0.10% ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเดิมที ในปี 2521 รัฐได้มีการจัดเก็บภาษีการค้าสำหรับรายรับจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ในอัตรา 0.1% ของรายรับ แทนการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไร (Capital Gains) จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ และ ในปี 2525 มีการยกเว้นภาษีการค้าให้แก่การขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์

 

ต่อมาในปี 2534 ได้มี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534 โดยมีบทบัญญัติให้การขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์เป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยฐานภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ คือ รายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ 

 

โดยอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์คือ 0.1% หรือ 0.11% เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น อีกทั้งยังมีบทบัญญัติให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะคือ ผู้ขาย แต่สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ (Broker) มีหน้าที่หักภาษีธุรกิจเฉพาะจากเงินที่ขาย และยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษี แทนผู้ขายในนามตนเอง โดยผู้ขายไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีก และให้ถือว่า Broker เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีด้วย

จากนั้นในปี 2535 ได้มีการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะแทนภาษีการค้า โดยการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 0.1% ของรายรับ หรือ 0.11% เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น 

 

ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษี ธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ 240) พ.ศ. 2534 และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ 257) พ.ศ. 2535 กำหนดให้ ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในตลาดหลักทรัพย์ 

 

นั่นจึงมีผลให้การขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว

 

ภาพประกอบข่าว ครม.เห็นชอบการจัดเก็บภาษีขายหุ้น

 

ความจำเป็นของการเก็บภาษีขายหุ้น

 

กระทรวงการคลัง ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การยกเว้นภาษีสำหรับการขายหลักทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์ ได้ดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว และปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) เพิ่มขึ้นถึง 22 เท่าจาก 30 ปีก่อน 

 

จึงเห็นควรยกเลิกการยกเว้นภาษี ธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยให้จัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราครึ่งหนึ่งของอัตราตามประมวลรัษฎากรในปีแรกของการจัดเก็บ (0.055% อัตราที่รวมกับภาษีท้องถิ่น) และจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราตามประมวลรัษฎากรในปีต่อ ๆ ไป ของการจัดเก็บ (0.11% เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) 

 

ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีระยะเวลาเพียงพอแก่การปรับตัวรับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสงครามรัสเซีย – ยูเครนต่อการลงทุน ก่อนจะเริ่มเสียภาษี รวมทั้งบริษัทหลักทรัพย์ ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีระยะเวลาเพียงพอแก่การพัฒนาระบบหัก และนำส่งภาษี 

 

พร้อมเห็นว่า ควรคงการยกเว้นภาษีให้แก่ ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) กองทุนบำนาญซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายรวมกันไม่เกิน 15% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด และกองทุนรวมที่ขายหน่วยลงทุนแก่กองทุนบำนาญ 

 

เพื่อไม่ให้การจัดเก็บภาษีส่งผลกระทบ ต่อการสร้างสภาพคล่องของหลักทรัพย์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ ๆ แห่งประเทศไทย รวมทั้งการออมเพื่อการเกษียณอายุ

 

ผลของการเก็บภาษีขายหุ้น

 

มาตรการนี้เป็นการยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยจัดเก็บในอัตราหนึ่งของอัตราตามประมวลรัษฎากรในการจัดเก็บปีแรกแล้วจัดเก็บในอัตราตามประมวลรัษฎากรในการจัดเก็บปีต่อ ๆ ไป และคงการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์บางกลุ่ม 

 

จึงไม่ได้ทำให้สูญเสียรายได้ แต่จะทำให้รายได้ภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มขึ้นในปีแรกของการจัดเก็บประมาณ 8,000 ล้านบาท และในปีต่อ ๆ ไปของการจัดเก็บประมาณปีละ 16,000 ล้านบาท

 

ส่วนผลด้านอื่น ๆ สรุปได้ดังต่อไปนี้ 

  • เพิ่มความเป็นธรรม ในการจัดเก็บภาษีและลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและการออมเพื่อการเกษียณอายุ ๆ 
  • อาจส่งผลให้ต้นทุนการทำธุรกรรมในตลาดหลักทรัพย์ของไทยสูงขึ้นจาก 0.17% เป็น 0.22% (ต้นทุนที่รวมทั้งการซื้อและการขาย) แต่ยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ โดยต่ำกว่าของมาเลเซียซึ่งอยู่ที่ 0.29% และของฮ่องกงซึ่งอยู่ที่ 0.38% และสูงกว่าของสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ที่ 0.20% เล็กน้อย โดยในปีแรกต้นทุนจะอยู่ที่ 0.195% ซึ่งใกล้เคียงกับของสิงคโปร์ 
  • อาจส่งผลต่อสภาพคล่องของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจากการศึกษากรณีตัวอย่างของต่างประเทศ (ฝรั่งเศสและอิตาลี) คาดว่าจะส่งผลให้สภาพคล่องลดลงในระยะสั้นเท่านั้น