BTS จับมือ"สหพัฒน์"แตกไลน์รุกสินเชื่อ หลังทุ่ม 2.8 พันล้านซื้อหุ้น TNL

04 ต.ค. 2565 | 10:12 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ต.ค. 2565 | 17:14 น.
610

BTS ทุ่ม 2.88 พันล้านบาท ซื้อหุ้น "บมจ.ธนูลักษณ์ "หรือ TNL บ.ในเครือสหพัฒน์ สัดส่วน 41% ลุยธุรกิจให้สินเชื่อมีหลักประกัน ดันมูลค่าสินเชื่อคงค้างทะลุ 3,500 ล้านบาท พร้อมต่อยอดลงทุนโนเบิล อีก 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านบาท

 

ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 มีมติอนุมัติเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNL (บริษัทย่อยของบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI)  ที่จะออกและเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) จำนวน 87,237,766 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 41.09% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TNL ภายหลังการเพิ่มทุน ในราคาจองซื้อ 33.06 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 2,884.08 ล้านบาท
          

โดย BTS หรือบริษัทย่อยจะเข้าลงนามในสัญญาจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ TNL ซึ่งการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนทั้งหมดตามที่ระบุในสัญญาจองซื้อหุ้นสำเร็จครบถ้วน หรือได้รับการผ่อนผันจากคู่สัญญาฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คาดว่าการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ TNLจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือน ธ.ค.2565 จากที่ TNL กำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้นวันที่ 6-30 ธ.ค. 2565

 

นอกจากนี้ BTS ต้องทําคําเสนอซื้อหุ้นสามัญของ TNL ส่วนที่เหลือทั้งหมด นอกจากหุ้นที่ถือโดย SPI เนื่องจาก BTS และ SPI มีข้อตกลงที่ SPI จะไม่ดําเนินการขายหุ้นของ TNL ที่ถืออยู่โดย SPI  ดังนั้นจํานวนหุ้นที่ BTS อาจได้มาจากการทําคําเสนอซื้อจํานวน 37,837,234 หุ้น หรือคิดเป็น 17.82% ของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TNL ภายหลังการเพิ่มทุน ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 33.06 บาท รวมเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,250,898,956.04 บาท

 

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร BTS เปิดเผยถึงกรณีการเข้าลงทุนใน TNL ว่า จากนี้ TNL จะขับเคลื่อนธุรกิจ  โดยมีนายธรรมรัตน์  โชควัฒนา เป็นประธานคณะกรรมการ และจะเริ่มขยายธุรกิจ ด้วยการลงทุนในธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน มุ่งเน้นลูกค้าเงินกู้รายใหญ่ผ่านการลงทุนในบริษัท Oxygen Asset Co., Ltd ซึ่งจะเป็นบริษัทย่อยของ TNL มูลค่าประมาณ 4,300 ล้านบาท ซึ่งเริ่มธุรกิจเพียง 1 ปี มียอดมูลค่าสินเชื่อ (Loan Outstanding) แล้วกว่า 2,500 ล้านบาท และคาดว่า ณ วันที่เข้าทำรายการหลังจากการอนุมัติของผู้ถือหุ้นจะมียอด Loan Outstanding ประมาณ 3,500 ล้านบาท
          

ขณะเดียวกัน จะต่อยอดการลงทุนครบวงจรในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ที่มีหลักประกัน และจะร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ศักยภาพสูงกับบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE  อีก 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านบาท รวมมูลค่าสินทรัพย์การขยายธุรกิจร่วมกันในช่วงแรกกว่า 6,700 ล้านบาท

 

ด้านนางสาวสรญา เสฐียรโกเศศ กรรมการ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ U เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 U ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อการปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจบริการทางการเงินเป็นหลัก พร้อมประกาศขายบริษัทร่วมทุน (JV) และบริษัทย่อยรวม 7 บริษัท ซึ่งทั้งหมดประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย ที่ร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กับ NOBLE ให้กับ TNL ด้วยราคาประมาณ 532 ล้านบาท ซึ่งหากรวมภาระหนี้เงินกู้ยืมที่ U มีกับ JV และบริษัทย่อยดังกล่าวที่ TNL ต้องชำระคืนให้กับ U ภายในเดือนมิถุนายน 2566 แล้ว ธุรกรรมนี้จะมีมูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านบาท ประกอบด้วย 

          

          

 

 

1.จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท รัชดา อัลไลแอนซ์ จำกัด (NOBLE ถือหุ้น 50% และ U 49.99%) จำนวน 250,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็น 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวม 24.10 ล้านบาท ภายหลังเข้าทำรายการแล้วจะมี NOBLE ถือหุ้น 50% และ TNL 49.99%
         

2.จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท พระราม 9 อัลไลแอนซ์ จำกัด (U ถือหุ้น 50% และ NOBLE 50%) จำนวน 3,840,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็น 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวม 6.75 ล้านบาท ภายหลังเข้าทำรายการแล้วจะมี TNL ถือหุ้น 50% และ NOBLE 50% 

 

3.จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท คูคต สเตชัน อัลไลแอนซ์ จำกัด (NOBLE ถือหุ้น 50% และ U 49.99%) จำนวน 1,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็น 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวม 113,666,000 บาท ภายหลังเข้าทำรายการแล้วจะมี NOBLE ถือหุ้น 50% และ TNL 49.99%
       

4.จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท มาเจสติค พาร์ค จำกัด (NOBLE ถือหุ้น 50% และ U 50%) จำนวน 1,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็น 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวม 156,272,000 บาท ภายหลังเข้าทำรายการแล้วจะมี NOBLE ถือหุ้น 50% และ TNL ถือหุ้น 50% 

 

5.จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท สุขสวัสดิ์ อัลไลแอนซ์ จำกัด (NOBLE ถือหุ้น 50% และ U 49.99%) จำนวน 250,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็น 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวม 27 ล้านบาท ภายหลังเข้าทำรายการแล้วจะมี NOBLE ถือหุ้น 50% และ TNL 49.99%
         

6.จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท ฟิวเจอร์ โดเมน จำกัด (NOBLE ถือหุ้น 50% และ U 49.99%) จำนวน 1,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็น 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวม 148,634,200 บาท ภายหลังเข้าทำรายการแล้วจะมี NOBLE ถือหุ้น 50% และ TNL 49.99%
         

7.จำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท ราษฎร์บูรณะ อัลไลแอนซ์ จำกัด (บริษัท ยู โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด ถือหุ้น 99.998% นางสาวสรญา เสฐียรโกเศศ และนายวีระพงศ์ โรจนวโรดม ถือหุ้นรายละ 0.001%) จำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็น 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวม 55,502,590 บาท ภายหลังเข้าทำรายการแล้วจะมี NOBLE ถือหุ้น 50% และ TNL 49.99%
         

ทั้งนี้ เนื่องจาก TNL จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดียวกันกับ U คือ BTS ซึ่ง ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2565 (วันปิดสมุดทะเบียนล่าสุดของ U) BTS ถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของ U ทั้งทางตรงและทางอ้อมคิดเป็นสัดส่วน 45.94% ของหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมด ดังนั้นเมื่อ BTS จะเข้าถือหุ้นของ TNL ในสัดส่วน 58.91% ของหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมดของ TNL (ภายหลัง BTS เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนวันที่ธุรกรรมฯ แล้วเสร็จสมบูรณ์ และการทำคาเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ TNL ภายหลังการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว) จึงทำให้ TNL จะเป็นนิติบุคคลที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายเดียวกันกับ U
         

นางสาวสรญา กล่าวเพิ่มเติมว่า การประกาศขายบริษัทร่วมทุนกับ NOBLE ทั้ง 7 แห่ง ให้กับ TNL ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจ และจะสามารถรับรู้รายได้จากการขายได้ทันที ซึ่งไม่ต้องรอการพัฒนาโครงการจนแล้วเสร็จ โดยเงินที่ได้จากการขายจะนำมาเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัทฯ ส่วนทรัพย์สินด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เหลืออยู่นั้น บริษัทจะทยอยขายออกภายในระยะเวลา 3 ปี
         

นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินการลดทุนจดทะเบียนและการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (ลดพาร์) ของบริษัทจาก 3.20 บาทต่อหุ้น เป็น 1.40 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้จำนวนทุนจดทะเบียนและจำนวนทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงจะลดลงเป็น 47,941,667,251.80 บาท และ 44,546,837,795.60 ตามลำดับ โดยการลดทุนและลดพาร์ในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถชดเชยส่วนต่ำมูลค่าหุ้นสำหรับหุ้นบุริมสิทธิ (U-P) ที่มีอยู่ราว 56,000 บาท ออกไปได้ ซึ่งจะทำให้บริษัทไม่ติดข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในอนาคตได้ตามกฎระเบียบต่าง ๆ ที่กำหนดไว้
         

 

อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมทั้งหมดนี้ต้องได้รับการอนุมัติโดยผู้ถือหุ้น โดยบริษัทได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 เวลา 14.00 น. ชั้น 23 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ และกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม (Record Date) ในวันที่ 18 ตุลาคม 2565